tag:blogger.com,1999:blog-57515184194375373732024-03-14T09:16:56.824-07:00ARCHEOTECTEVasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.comBlogger44125tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-32864599512855080112011-07-06T01:52:00.000-07:002011-07-06T02:05:03.455-07:00บันทึกจากปารีส<div>เรื่องราวจาการเดินทางไปร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๕ (The 35th Session of the World Heritage Committee) ระหว่างวันที่ ๑๙ – ๒๙ มิ.ย. ๒๕๕๔ ณ ที่ทำการใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส</div><br /><div><br /></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5626161780388471218" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 180px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgxb-3ihNg4akkSPgYR6WsS0ZUxF91bHaCMHs6pz4jbCP6txBFw0roG3pb_glcbuQF6_vIKAAfTri0m2LvG4yvYbef-0hc60FP1fOowYtssuTfiyl2GwwLjk3sBJS_iVroKNkOgKXP57G8/s320/Copy+of+IMG_7849.JPG" border="0" /><br />ความเดิม<br />ประเทศไทยเข้าร่วมในอนุสัญญามรดกโลกมาตั้งแต่วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๓๐ ร่วมสนับสนุนการจัดทำบัญชีมรดกโลกจนทำให้เรามีแหล่งที่เป็นมรดกโลกแล้ว ๕ แหล่ง ซึ่งในจำนวนนี้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ๓ แหล่ง มีแหล่งที่อยู่ในบัญชีชั่วคราวเตรียมขึ้นเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมอีก ๒ แหล่ง ชาติภาคีสมาชิกจะผลัดกันมาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการมรดกโลกเพื่อพิจารณาเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับมรดกโลกรวมทั้งการตัดสินนำแหล่งใหม่ๆเข้าสู่บัญชีมรดกโลก และพิจารณาเรื่องการปกป้องคุ้มครองและอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกด้วย มีวาระ ๖ ปี (แต่ในทางปฏิบัติบังคับให้สมัครใจอยู่กันแค่ ๔ ปี – ความไม่ตรงไปตรงมาอย่างแรกที่เห็นได้) กรรมการประกอบด้วยสมาชิก ๒๑ ชาติ ประเทศไทยได้มาร่วมเป็นกรรมการแล้ว ๓ สมัย โดยในครั้งล่าสุดได้รับเลือกเข้าไปพร้อมกับกัมพูชาตั้งแต่ปี ๒๕๕๒ มี ดร.โสมสุดา ลียะวณิช อธิบดีกรมศิลปากรในปัจจุบัน เป็นผู้แทนประเทศไทย ซึ่งยังเหลือเวลาในวาระอยู่จนถึงปี ๒๕๕๖<br />เรื่องเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเริ่มเป็นประเด็นปัญหาในเวทีมรดกโลก ระหว่างไทยและกัมพูชามาตั้งแต่การประชุมสมัยสามัญครั้งที่ ๓๑ ในปี ๒๕๕๐ เมื่อกัมพูชาเสนอเขาพระวิหารเข้าสู่บัญชีมรดกโลก ที่มาประสบความสำเร็จได้เป็นมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทในการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ ๓๒ ในปีต่อมา แต่ก็มีการบ้านที่เขาต้องนำแผนที่ที่แสดงขอบเขตและพื้นที่กันชนอย่างชัดเจน และแผนบริหารจัดการมรดกโลกมาเสนอในที่ประชุมครั้งต่อไปด้วย ชึ่งหากจะทำได้ก็ต้องมาจากการตกลงกับประเทศไทยก่อน และเมื่อไม่มีการเจรจาก็ส่งอะไรไม่ได้ การประชุมสมัยสามัญครั้งที่ ๓๓ จึงให้เลื่อนการพิจารณาไปก่อน และเลื่อนต่ออีกครั้งในการประชุมครั้งที่ ๓๔ ที่ประเทศบราซิล ในปี ๒๕๕๓<br /><br />ความเดิมจากตอนที่แล้ว<br />แม้ว่ากัมพูชาจะได้ส่งแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารแก่ศูนย์มรดกโลกเพื่อให้นำเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ ๓๔ แต่ก็ไม่ได้มีการส่งให้กรรมการชาติใดได้ดูก่อนเลยนอกจากผู้เชี่ยวชาญของอิโคโมสที่ได้ทำรายงานผลการประเมิน ซึ่งมาจากพื้นฐานข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนจากกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียวอย่างที่เป็นมาตั้งแต่ต้น แต่จากความพยายามของผู้แทนไทยใน พร้อมด้วยความช่วยเหลือของประธานที่ประชุมชาวบราซิลในการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา ทำให้ที่ประชุมไม่ได้พิจารณาเอกสารใดๆและมีมติกำหนดให้พิจารณาเอกสารที่กัมพูชาส่งมานั้นในการประชุมครั้งที่ ๓๕ ในปี ๒๕๕๔<br /><br />การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๕<br />ยูเนสโก ปารีส ช่วงวันที่ ๑๙ – ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๔<br />แล้วความตึงเครียดก็วนกลับมาอีกครั้งเมื่อเราจะต้องมาลุ้นว่าจะมีการพิจารณาและรับรองแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ที่อาจจะมีความเสี่ยงต่อการตีความให้เชื่อมโยงกับเรื่องของอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่มีปัญหาระหว่างประเทศ ในบรรดาคณะผู้แทนประเทศไทยซึ่งมี นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะ และประกอบด้วยผู้แทนของหน่วยงานในกระทรวงต่างๆ ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรฯ และกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งมี ดร.โสมสุดา ลียะวณิช อธิบดีกรมศิลปากร (และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาสมาคมอิโคโมสไทย) ทำหน้าที่ในฐานะกรรมการมรดกโลก โดยรวมจึงมีภารกิจที่แบ่งออกได้เป็น ๒ ลักษณะ ประการแรกได้แก่การเจรจาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปราสาทพระวิหารโดยเฉพาะ และประการต่อมาคือการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหนึ่งในกรรมการมรดกโลก ๒๑ ชาติ<br />ทั้งนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องปราสาทพระวิหารได้รับนโยบายมาจากนายกรัฐมนตรีว่าให้พยายามอย่างถึงที่สุดให้เลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการออกไป พยายามให้มีการตกลงกันด้วยการเจรจา ๒ ฝ่ายนอกวาระมากกว่าการไปโหวตกันในที่ประชุมใหญ่ ให้ยอมได้บ้างในเรื่องที่ไม่มีผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตย แต่หากมีความจำเป็นจริงๆ ก็คงต้องประกาศออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลกดังที่เคยได้ขอมติคณะรัฐมนตรีไว้ตั้งแต่ช่วงการประชุมครั้งที่แล้ว จึงเป็นภาระของหัวหน้าคณะและคณะทำงานของกระทรวงการต่างประเทศที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ สืบเนื่องจากการเจรจาทวิภาคีซึ่งยูเนสโกได้จัดขึ้นในช่วงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่สามารถตกลงกันได้ แต่ละฝ่ายจึงได้ร่างมติในแบบที่ตนต้องการมานำเสนอในการประชุมครั้งนี้ โดยทางกัมพูชาได้ชูประเด็นเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นที่ปราสาทพระวิหารจากการยิงด้วยอาวุธหนักของกองกำลังฝ่ายไทย ที่ทั้งเป็นการประณามกล่าวโทษไทยว่าเป็นผู้ทำลายมรดกโลก และยังเป็นการเรียกร้องให้มีคณะทำงานพิเศษเข้าไปตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น พร้อมด้วยการบูรณะโบราณสถานอย่างเร่งด่วนโดยเงินช่วยเหลือจากกองทุนมรดกโลก ทั้งนี้ไม่ได้กล่าวถึงแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารแต่อย่างใด ร่างมติเช่นนี้ประเทศไทยย่อมไม่สามารถยอมรับได้<br />ระหว่างการเจรจาที่ประธานของศูนย์ ICCROM ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานในเรื่องนี้ ได้มีการแลกเปลี่ยนร่างของแต่ละฝ่ายให้อีกฝ่ายพิจารณา เมื่อปรากฏว่าไม่สามารถยินยอมตกลงกันได้ จึงทำให้ต้องกลับมานำร่างเดิมที่ทางยูเนสโกได้เสนอไว้มาเป็นตัวตั้งต้นอีกครั้ง โดยยินดีที่จะตัดคำที่อาจทำให้ฝ่ายไทยไม่สบายใจออกไป เช่น potential future damages, urgent repair ออก แต่ก็ยังเหลือคำว่า restoration ที่ฝ่ายไทยเกรงว่าจะนำไปสู่การเริ่มต้นของแผนบริหารจัดการ อีกทั้งโครงการบูรณะที่จะเกิดขึ้นย่อมมีความจำเป็นที่จะต้องมาเกี่ยวข้องกับพื้นที่โดยรอบปราสาทซึ่งจะเกิดปัญหากับประเทศไทยอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีการกล่าวถึง sustainable community development ซึ่งเป็นเรื่องของพื้นที่นอกเขตมรดกโลกที่จะเป็นประเด็นปัญหา ทั้งนี้เพื่อยืนยันความไม่เร่งด่วนในการบูรณะด้วยวิธีอนัสติโลซิสซึ่งเป็นเทคนิคการอนุรักษ์โบราณสถานประเภทหิน จึงได้นำภาพถ่ายเก่าของปราสาทพระวิหารจากหนังสือซึ่งจัดพิมพ์โดยกรมศิลปากร เมื่อปี ๒๕๐๓ มาแสดงให้เห็นว่าการเสื่อมสภาพ ทรุดเอียง แตกร้าวต่างๆของปราสาทในปัจจุบัน ที่นักวิชาการของยูเนสโกเห็นว่าต้องรีบซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนนั้น เป็นเช่นนี้มากว่า ๕๐ ปีแล้ว อย่างไรก็ตามด้วยความเป็นยูเนสโกจึงต้องย้ำอยู่เสมอถึงการปกป้องและอนุรักษ์<br />ในขณะเดียวกันการทำงานในบทบาทของคณะกรรมการมรดกโลกก็ได้ดำเนินไปในห้องประชุมใหญ่ตามระเบียบวาระต่างๆ วาระที่สำคัญได้แก่ วาระ 7A สถานภาพการอนุรักษ์ของมรดกโลกที่อยู่ในภาวะอันตราย วาระ 7B สถานภาพการอนุรักษ์ของมรดกโลก ซึ่งเรื่องพระวิหารเป็นหนึ่งในวาระนี้ เนื่องจากยังต้องการเวลาที่จะต้องตกลงกันจึงให้ข้ามเฉพาะเรื่องนี้ไปก่อน ในขณะที่ได้มีการรับรองมติเรื่องของมรดกโลกเขาใหญ่-ดงพญาเย็นโดยไม่ได้มีการชี้แจงให้ความเห็นใดๆ วาระ 8A บัญชีชั่วคราวการเตรียมขึ้นเป็นมรดกโลก ที่ประชุมได้รับรองแหล่งมรดกใหม่ๆที่นำเสนอเข้ามาอยู่ในบัญชีนี้ รวมทั้งแหล่งใหม่ล่าสุดของประเทศไทย ได้แก่ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และวาระ 8B การนำเสนอเข้าสู่บัญชีมรดกโลก ที่เริ่มต้นจากแหล่งทางธรรมชาติ แหล่งผสม และแหล่งทางวัฒนธรรม โดยเรียงลำดับแหล่งที่เข้าสู่การพิจารณาด้วยที่ตั้งของประเทศเรียงตามภูมิภาค<br />การดำเนินการประชุมในวาระต่างๆ จะเริ่มต้นด้วยข้อมูลเบื้องต้นกล่าวนำโดยศูนย์มรดกโลก ตามด้วยรายงานขององค์กรที่ปรึกษา (อิโคโมสจะเป็นผู้รายงานสำหรับแหล่งทางวัฒนธรรม) จากนั้นจะเป็นการซักถามหรือแสดงความคิดเห็นของกรรมการมรดกโลก ๒๑ ชาติ ซึ่งบรรยากาศโดยรวมในทางปฏิบัติโดยส่วนใหญ่ แม้การประเมินสถานภาพและข้อเสนอขององค์กรที่ปรึกษาจะออกมาไม่ดีนัก แต่ด้วยการร้องขอมายังกรรมการชาติต่างๆให้ช่วยเหลือ ก็มักจะผลักดันช่วยเหลือกันไปจนได้ ขอให้ได้เข้าสู่บัญชีมรดกโลกเอาไว้ก่อน ปัญหาต่างๆที่ต้องแก้ไข หรือยังต้องปรับปรุง ก็ทิ้งท้ายไว้ให้เป็นคำแนะนำ หรือสิ่งที่จะต้องนำกลับมารายงานความก้าวหน้าในการประชุมครั้งต่อไป หรือถ้าช่วยเหลือไม่สำเร็จก็อาจผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นได้ชัดถึงปัญหาร่วมที่เกิดขึ้นกับแหล่งมรดกโลกต่างๆว่า เป็นเรื่องของความพร้อมในการปกป้องและอนุรักษ์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขอบเขตที่ไม่ชัดเจนหรือไม่เหมาะสมของแหล่งและพื้นที่กันชน หรือเรื่องแผนการบริหารจัดการ (ไม่ใช่เฉพาะในกรณีของปราสาทพระวิหาร) ช่วงท้ายของแต่ละเรื่องก็จะเป็นการพิจารณาร่างมติ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อมีการยื่นขอแก้ไขก่อนล่วงหน้าเท่านั้น<br /><br />๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ ช่วงเย็น<br />กลับมาทางคณะเจรจาเรื่องพระวิหารที่มาถึงจุดนี้ ก็ยังไม่ได้ร่างมติที่เห็นพ้องต้องกัน แม้ว่าจะได้ตัดถ้อยคำต่างๆที่ไม่พึงประสงค์ของแต่ละฝ่ายออกไปมากแล้ว ทางฝ่ายกัมพูชาเสนอให้มีการพิจารณาความคืบหน้าของการปกป้องคุ้มครองและอนุรักษ์ในการประชุมครั้งหน้า โดยข้ามไม่กล่าวถึงแผนการบริหารจัดการแต่อย่างใด ในขณะที่ไทยต้องการคงไว้ว่า จะมีการพิจารณาเอกสารที่เตรียมสำหรับการประชุมครั้งที่ ๓๔ (หมายถึงแผนบริหารจัดการนั้น) ในการประชุมครั้งหน้า<br />เมื่อตกลงกันไม่ได้ ฝ่ายเลขาของที่ประชุมจึงได้แจกร่างมติที่มีข้อเสนอทั้งของกัมพูชาและของไทยในที่ประชุมเพื่อเข้าสู่การพิจารณาเป็นวาระพิเศษทั้งที่ทราบถึงความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยอาจจะลาออกจากภาคีอนุสัญญา โดยที่ทางคณะผู้แทนไทยยังไม่พร้อมเนื่องจากยังต้องรอผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกทางโทรศัพท์ ซึ่งได้นัดหมายไว้ในอีกชั่วโมงข้างหน้า จึงขอที่ประชุมให้เลื่อนวาระนี้ออกไปอีก ตามกฎของที่ประชุมเราต้องการกรรมการชาติอื่นช่วยสนับสนุนข้อเสนออย่างน้อย ๑ ชาติ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครสนับสนุน คำขอของไทยจึงตกไป ประธานจึงได้ดำเนินการต่อโดยให้พิจารณาร่างมติไปทีละข้อ ด้วยสถานการณ์ที่บีบคั้นเช่นนี้จึงทำให้ นายสุวิทย์ คุณกิตติ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยตัดสินใจประกาศลาออกจากอนุสัญญามรดกโลก และเดินนำคณะผู้แทนไทยทั้งหมดออกจากห้องประชุม<br />…..<br />เมื่อไทยออกไปจากห้องประชุมแล้วการพิจารณาร่างมติก็ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อมาถึงในข้อที่มีความเห็นเป็นสองแบบ ข้อหนึ่งของไทย ข้อหนึ่งของกัมพูชา ประธานได้ถามความเห็นที่ประชุมว่าจะเลือกแบบใด แต่ก็ไม่มีใครแสดงความคิดเห็น ประธานจึงเสนอให้ตัดออกไปทั้งหมด สรุปว่าในการประชุมครั้งหน้าก็จะไม่มีการพิจารณาสถานภาพการอนุรักษ์ของปราสาทพระวิหารอีกต่อไป ไม่ต้องรายงานทั้งความคืบหน้าในการอนุรักษ์หรือนำแผนการจัดการมาให้ที่ประชุมรับรอง<br /><br />การดูงานด้านมรดกวัฒนธรรมหลังออกจากที่ประชุมมรดกโลก<br />๒๖ – ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ (ด้วยสิทธิ์ของสมาชิกอิโคโมส)<br />สมาชิกอิโคโมสสามารถใช้สิทธิ์ในการยกเว้นค่าเข้าชมโบราณสถานและพิพิธภัณฑ์ที่เป็นของรัฐ หรือที่ได้มีข้อตกลงกันไว้ได้ในทุกประเทศสมาชิก เมื่อไม่มีภารกิจในที่ประชุมอีกต่อไป จึงขอใช้เวลาที่เหลือในปารีสเก็บเกี่ยวข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ในการทำงานที่เมืองไทยด้วยสิทธิประโยชน์จากสมาชิกภาพนี้ ๓ วัน ๔ พิพิธภัณฑ์<br />Musee Guimet พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชียแห่งชาติ<br />แม้จะต้องออกจากที่ประชุมด้วยเรื่องปราสาทพระวิหาร แต่ด้วยยังมีความชื่นชอบในศิลปะเขมรอยู่เลยได้มาใช้สิทธิ์สมาชิกอิโคโมสที่พิพิธภัณฑ์นี้เป็นแห่งแรก ใครที่มาต่างก็ต้องประหลาดใจว่าทำไมฝรั่งเศสถึงได้ไปยกโบราณวัตถุและชิ้นส่วนปราสาทของกัมพูชา ขนาดมหึมามาจัดแสดงไว้ได้มากมาย เช่น หน้าบันของปราสาทบันทายสรีที่ครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมด้วยทับหลังที่ไล่เรียงตามยุคสมัยต่างๆได้อย่างครบถ้วน นอกจากห้องศิลปะเขมรยังได้ชมในส่วนที่สนใจเป็นพิเศษ เช่น ศิลปะจามปา ในเวียตนาม คันธาระ ในปากีสถานและอัฟกานิสถาน ส่วนห้องศิลปะไทยนั้นขนาดไม่ใหญ่โตนักแต่ก็มีพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามหลายองค์<br />Musee du Louvre พิพิธภัณฑ์ลูฟร์<br />คงเป็นไปไม่ได้ที่จะชมพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ให้ครบถ้วนทั้งหมดภายในวันเดียว ขนาดว่ามีโอกาสได้มาเข้าชมถึงสองวัน ผมก็ยังต้องเลือกดูในส่วนที่มีความจำเป็นกับการทำงานในช่วงนี้เท่านั้น ถือว่าบัตรอิโคโมสมีประโยชน์มากสำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวในหน้าร้อนอย่างนี้ นอกจากจะไม่ต้องเสียค่าเข้าชมแล้วยังไม่ต้องต่อแถวกลางแดดร้อน ๓๘°c รอเข้าปิระมิดแก้วทางเข้าพิพิธภัณฑ์อีกด้วย เมื่อเข้ามาด้านในที่ดูบรรยากาศของผู้คนที่พลุกพล่านขนาดนี้น่าจะเป็นศูนย์การค้ามากกว่าผมเลยมุ่งไปที่เป้าหมายแรกก่อน ได้แก่การจัดแสดงกำแพงเมือง กำแพงป้อม ของอาคารพระราชวังลูฟร์หลังแรก ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ในยุคกลาง เป็นสิ่งที่ได้ค้นพบใต้อาคารระหว่างการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ครั้งใหญ่โดยสถาปนิก I. Ming Pei เจ้าของความคิดปิระมิดแก้วและปิระมิดกลับหัวที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง ในวันต่อมาผมได้เน้นเก็บข้อมูลเรื่องการสื่อความหมายจากโบราณวัตถุที่เป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ ห้องเมโสโปเตเมีย องค์ประกอบจากพระราชวังของอัสซีเรีย ในอิรัค ห้องเปอร์เซีย องค์ประกอบจากพระราชวังดาริอุส ในอิหร่าน และห้องกรีก องค์ประกอบจากพาร์เธนอนแห่งเอเธนส์ สรุปว่าไม่มีเวลาไปทักทาย “โมนาลิซา” เลย<br />Musee d’Orsay พิพิธภัณฑ์ศิลปะในศตวรรษที่ ๑๙ และต้นศตวรรษที่ ๒๐<br />จากอดีตของสถานีรถไฟที่กำลังจะถูกรื้อ ที่ได้มีการออกแบบปรับปรุงมาเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จที่สุดพิพิธภัณฑ์หนึ่งในปัจจุบันโดยพิจารณาจากปริมาณผู้เข้าชม เป้าหมายที่โดดเด่นที่สุดอยู่ที่ภาพเขียนในแบบอิมเพรสชั่นนิสต์ ไม่ว่าจะเป็น โมเนท์ มาเน่ท์ เรอนัวร์ หรือ แวน โกก์ ทำให้ในวันนี้แม้จะถือบัตรอิโคโมส ก็ยังต้องต่อคิวรอเดินเข้าอาคารเป็นชั่วโมงอยู่เหมือนกัน ขนาดว่าเป็นทางเข้าเฉพาะสำหรับผู้ที่มีตั๋วแล้วหรือได้รับการยกเว้นค่าเข้าชมในกรณีต่างๆ แล้ว เมื่อเข้าไปชมงานศิลปะภายในแล้วยิ่งแล้วใหญ่ ด้วยปริมาณผู้เข้าชมที่มากจนเกินไปได้ทำให้ความเพลิดเพลินในการชื่นชมงานศิลป์หายไปอย่างน่าเสียดาย แต่สำหรับที่นี่แค่ได้สัมผัส space และการตกแต่งด้วยเหล็กหล่อของสถานีรถไปเดิมก็คุ้มแล้ว<br />Musee du quai Branly พิพิธภัณฑ์ศิลปะพื้นถิ่นอัฟริกา เอเซีย หมู่เกาะ และอเมริกา ใหม่ล่าสุดตีนหอไอเฟล<br />ที่นี่เปิดมาได้เป็นปีที่ ๕ เท่านั้น จึงถือเป็นความทันสมัยแปลกใหม่ที่สุดที่เราได้มาชมกันในครั้งนี้ เดินผ่านหอไอเฟลมาเล็กน้อยก็จะพบกับผนังสวนแนวดิ่งขนาดใหญ่ เป็นจุดเริ่มของอาคารพิพิธภัณฑ์ที่ต่อกับผนังกระจกใสขนาดยักษ์ที่มองทะลุเข้าไปเห็นป่าไม้และพงหญ้ารกด้านในที่เป็นส่วนด้านหน้านำไปสู่ทางเข้าชมนิทรรศการที่ต้องลอดใต้ช่วงกลางของอาคาร ทะลุออกไปอ้อมเข้าอาคารทางด้านหลัง เมื่อเข้าสู่ภายในก็เดินต่อขึ้นไปตามทางลาดที่เลื้อยเป็นงู เข้าไปสู่โถงนิทรรศการที่แยกออกเป็นส่วนๆ ตามภูมิภาค ด้วยผนังเตี้ยที่มีลักษณะคล้ายกับกำแพงดิน เป็นนิทรรศการที่สวยงาม น่าสนใจด้วยวัตถุที่นำมาจัดแสดง ด้วยการออกแบบนิทรรศการที่ทันสมัย และยังเป็นงานสถาปัตยกรรมที่ชนะการประกวดแบบ ผลงานของ Jean Nouvel สถาปนิกที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสในปัจจุบันอีกด้วย รายการนี้ประหยัดไปอีก ๑๐ ยูโร<br /><br />แม้ว่าประเทศไทยจะได้ประกาศที่จะออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลกในที่ประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๕ ไปแล้ว แต่ตามขั้นตอนยังจะต้องมีจดหมายอย่างเป็นทางการจากนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก่อน และนับจากวันที่ทางยูเนสโกได้รับจดหมายไปอีกหนึ่งปีจึงจะถือว่าเป็นการออกจากภาคีอนุสัญญาโดยสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันจึงยังต้องถือว่าประเทศไทยยังไม่ได้ออกจากภาคีอนุสัญญามรดกโลก และยังคงเดินหน้าปฏิบัติภารกิจในฐานะกรรมการมรดกโลกต่อไป สำหรับการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ ๓๖ ในปี ๒๕๕๕ ซึ่งไทยและกัมพูชาต่างก็เคยได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนั้น ในที่สุดคณะกรรมการก็สนับสนุนให้รัสเซียได้เป็นสถานที่จัดการประชุมVasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-75112619076914221582011-04-15T07:28:00.000-07:002011-04-18T19:26:28.291-07:00รางวัลผลงานวิจัย ดีเด่น ประเภทนิสิตดุษฎีบัณฑิต ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี พ.ศ.๒๕๕๓<img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 240px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5595818090784534882" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiY9Jhb14y49Ss9APjJ0hsmvhGT8bq86th_Po7QhcK8VaMZIrr56Xd5bSuE_i5KExWuYwtJklyDgOK00jC3Rd6Q1qvy7gs_ncxYo2U9jgrg1mgFWAI2lqnruNvaauIBDoWxLydRKyt81BM/s320/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A12.JPG" />ผลงานวิจัยเรื่อง อนัสติโลซิสเพื่อการบูรณะปราสาทสด๊กก๊อกธม (AN ANASTYLOSIS FOR THE RESTORATION OF SDOK KOK THOM TEMPLE) โดย วสุ โปษยะนันทน์ อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หลัก ผศ.ดร. ปิ่นรัชฎ์ กาญจนัษฐิติ ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ <br /><div><br /><div><br /><div><br /><div><br /><div>ผลงานวิจัยโดยสรุป </div><br /><div>วิทยานิพนธ์เล่มนี้เป็นการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการอนุรักษ์โบราณสถานประเภทหินที่เรียกว่า “อนัสติโลซิส” โดยการวิจัยมีเป้าหมายที่จะหาแนวทางในการดำเนินการที่เหมาะสมกับสังคมในปัจจุบัน เพื่อแก้ปัญหาที่กำลังประสบอยู่จากการปฏิบัติงานของกรมศิลปากร เพื่อกำหนดแนวคิดที่นำมาใช้ในการอนุรักษ์ เพื่อประเมินผลการบูรณะ ศึกษาสภาพปัญหาและเก็บข้อมูลจากการบูรณะที่ปราสาทประธานซึ่งจะใช้เป็นโมเดลทดสอบสมมติฐาน และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์นำมาสรุปเป็นข้อเสนอแนะสำหรับการบูรณะในโครงการ ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับการบูรณะปราสาทหินแหล่งอื่นๆ ต่อไปด้วย ขอบเขตของการวิจัยจึงอยู่ภายใต้กรอบของการอนุรักษ์โบราณสถานด้วยวิธีอนัสติโลซิส เน้นพื้นที่ศึกษาที่การดำเนินการบูรณะที่ปราสาทสด๊กก๊อกธม ในเรื่องแนวความคิดของการอนุรักษ์มีสมมติฐานที่จะค้นพบความสมดุลระหว่างการรักษา ความแท้ และ การสื่อความหมาย คุณค่าของโบราณสถานที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่มรดกวัฒนธรรม วิธีการวิจัยได้เริ่มต้นจาก การทบทวน สารสนเทศงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานศึกษาในช่วงก่อนหน้านี้ของผู้วิจัยเกี่ยวกับอนัสติโลซิส รวบรวมข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งแนวคิดของ ดร.สัญชัย หมายมั่น ผู้เป็นสัญลักษณ์ของการอนุรักษ์ปราสาทหินในประเทศไทย ขั้นตอนต่อมาคือการศึกษาในพื้นที่ปราสาทสด๊กก๊อกธม โดยการสำรวจและวิเคราะห์การดำเนินการบูรณะที่ได้ดำเนินการมาทั้งในแง่การบริหารจัดการและด้านเทคนิควิธีการ นำมาสู่กรณีของการบูรณะปราสาทประธาน ซึ่งผู้วิจัยต้องการนำเสนอและวิเคราะห์แนวคิดในการบูรณะบนพื้นฐานของประเด็นความแท้ และการสื่อความหมาย และขั้นตอนสุดท้ายได้แก่ การสรุปเป็นข้อเสนอแนะสำหรับการบูรณะปราสาทสด๊กก๊อกธมและโบราณสถานอื่นๆ </div><br /><div></div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4znguX5V-C9DMJzmUupQi57O1cVBRw0lD8aRHnVtn5-p7JobAYjLUopE3M1fad8RG4auRS2FP_pWDYqXxYv6Iqo99z3cyXM_lkoZMFvtHNe9SIweeq1ESLjl0x62t54RKzL6_FP-YpFM/s1600/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25991.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 253px; FLOAT: left; HEIGHT: 217px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5595824497853946386" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4znguX5V-C9DMJzmUupQi57O1cVBRw0lD8aRHnVtn5-p7JobAYjLUopE3M1fad8RG4auRS2FP_pWDYqXxYv6Iqo99z3cyXM_lkoZMFvtHNe9SIweeq1ESLjl0x62t54RKzL6_FP-YpFM/s320/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25991.jpg" /></a> <img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 206px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5595827114801223330" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgLoI-pDa8yAvco1GrTagWme99yZ3AsdKUV9eBB826W4MZS8VvA6W4ppQnvufjC5YPEQhD-W_ta8Mpwtb9nYO60wtxIj_NNa3x8ipKLLnIvgbzvCx41E-L8KcRH4YEBKVASscH-DxBnwzQ/s320/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A11.JPG" />ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ในการดำเนินการที่ปราสาทประธาน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโบราณสถาน ได้ทดลองนำแนวคิดด้านการสื่อความหมายมาผสานหาสมดุลกับความแท้ ตามทิศทางของแนวคิดการอนุรักษ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน และกำหนดขั้นตอนวิธีการทำงานเพิ่มเติมขึ้นเพื่อจะได้แก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตถือว่าได้บรรลุตามเป้าหมาย สามารถสื่อสารให้ผู้มาเยี่ยมชมได้เข้าใจถึงคุณค่าและความหมายของโบราณสถานได้เป็นอย่างดี เป็นพัฒนาการของแนวทางที่นำมาใช้เป็นตัวกำหนดในการออกแบบอนุรักษ์ อย่างไรก็ตามในรายละเอียดยังคงมีปัญหาที่จะต้องแก้ไขอยู่ ซึ่งได้สรุปไว้เป็นข้อเสนอแนะต่อกรมศิลปากรสำหรับการปรับแก้ไขและใช้กับแหล่งโบราณสถานประเภทหินอื่นๆ ที่มีปัจจัยแวดล้อมใน ลักษณะเดียวกันต่อไป ทั้งทางด้านการบริหารจัดการ แนวความคิดในการอนุรักษ์ และในแต่ละขั้นตอนของการทำงาน <br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj564lGcMyC0R7kB13xA0OuBr7uyQ_Dnke4evuVPyBz590vLh4QmMnfdtik7n1KfmR8Bpy6gUC_suWNcrJsHrfVQo_GT2kGy5eilxZHK4m57fyjz15tCL2T8kVTe0gD8-qLEW4LGiRo8Q8/s1600/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25992.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 201px; FLOAT: left; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5595822200101044130" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj564lGcMyC0R7kB13xA0OuBr7uyQ_Dnke4evuVPyBz590vLh4QmMnfdtik7n1KfmR8Bpy6gUC_suWNcrJsHrfVQo_GT2kGy5eilxZHK4m57fyjz15tCL2T8kVTe0gD8-qLEW4LGiRo8Q8/s320/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25992.jpg" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiifhp0qoPjwOAQ-zSRoVTTT5OZlCGGf7fBnmqQ_olD6D13VCxiKyi9jR6R4Zo7JfIw74SXcWkpR8ulqY6kw3MUC9VWRcpOX6QBO0eeCaILfiu821hE6bmR7qGEmyVJr-czlQaFb0u_WW4/s1600/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25994.jpg"><img style="MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 243px; FLOAT: right; HEIGHT: 261px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5595823360636072818" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiifhp0qoPjwOAQ-zSRoVTTT5OZlCGGf7fBnmqQ_olD6D13VCxiKyi9jR6R4Zo7JfIw74SXcWkpR8ulqY6kw3MUC9VWRcpOX6QBO0eeCaILfiu821hE6bmR7qGEmyVJr-czlQaFb0u_WW4/s320/%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25994.jpg" /></a></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div>สิ่งที่ดีเด่นของงานวิจัย เป็นการศึกษาในเรื่องแนวคิดและวิธีการในการอนุรักษ์โบราณสถานประเภทหินที่จะเป็นประโยชน์ในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมของชาติ โดยเริ่มต้นจากการศึกษาปัญหาในการทำงานที่พบในการดำเนินการในอดีต มาจนถึงในปัจจุบัน เพื่อเป็นการแก้ปัญหาและได้วิธีที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินการและการแก้ไขส่วนที่ดำเนินการไปแล้วที่ ปราสาทสด๊กก๊อกธม ตลอดจนเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้เป็นแบบอย่างกับการดำเนินการด้วยวิธีอนัสติโลซิสนี้ที่โบราณสถานแหล่งอื่นๆต่อไป และอาจนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการดำเนินการด้วยวิธีเดียวกันนี้กับโบราณสถานประเภทหินในต่างประเทศด้วย เนื่องจากในวิทยานิพนธ์เล่มนี้ได้จัดทำข้อเสนอแนะไว้อย่างละเอียดในทุกขั้นตอนของการทำงานอย่างที่ไม่มีมาก่อน สามารถนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้ นอกจากในส่วนที่ได้อยู่ระหว่างการดำเนินการที่ปราสาทสด๊กก๊อกธม จนถึงปัจจุบันคำแนะนำจากวิทยานิพนธ์เล่มนี้ยังได้นำไปใช้แล้วกับงานบูรณะโบราณสถานประเภทหินอีกหลายแหล่งในการดำเนินการของกรมศิลปากร ได้แก่ ปราสาทพนมวัน โคปุระชั้นนอกปราสาทพิมาย จ.นครราชสีมา และกู่บ้านเมย จ.ขอนแก่น เพื่อการบูรณะโบราณสถานที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ มีมาตรการในการกำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง ไม่สร้างความเสียหายกับคุณค่าของโบราณสถาน และลดการสูญเสียงบประมาณของรัฐในส่วนที่ไม่จำเป็น</div></div></div></div></div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-53417779833663526942011-04-14T06:46:00.000-07:002011-04-14T06:55:08.116-07:00ยูเนสโกและความช่วยเหลือในการบูรณะปราสาทพระวิหารสืบเนื่องจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในบริเวณพื้นที่พิพาท ๔.๖ ตารางกิโลเมตร รวมทั้งบริเวณปราสาทพระวิหารที่กองกำลังของกัมพูชาใช้เป็นที่หลบกำบังทางทหารนั้น นอกจากการส่งนาย Koichiro Matsuura มาในฐานะผู้แทนพิเศษของยูเนสโก เพื่อเข้าพบเจรจากับผู้นำของทั้งสองชาติ ที่ได้นำมาสู่การนัดหมายที่จะเปิดการหารือ ๒ ฝ่าย ที่อาคารสำนักงานใหญ่ยูเนสโก กรุงปารีส ในวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๕ โดยที่ทางผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโกได้ชี้แจงว่าไม่ประสงค์จะเจรจาในเรื่องที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองสูง ด้วยตระหนักถึงอาณัติขององค์กรดี ว่ายูเนสโกมีหน้าที่เฉพาะเพียงการคุ้มครองแหล่งมรดกโลกและการสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยให้มีการพูดคุยแก้ไขปัญหาอย่างฉันมิตรเท่านั้น ทางผู้อำนวยการใหญ่ฯ ยังได้กล่าวว่าเหตุการณ์ปะทะกันดังกล่าว ทำให้ปราสาทพระวิหารบางส่วนได้รับความเสียหาย ทั้งยูเนสโกและรัฐภาคีสมาชิกต่างก็มีความห่วงกังวลและประสงค์จะให้ความช่วยเหลือในการบูรณะซ่อมแซม แต่ก็ตระหนักถึงความอ่อนไหวของเรื่องนี้ และคิดว่าคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นในการพิจารณา จึงต้องการจะทราบความเห็นของฝ่ายไทยเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของยูเนสโกในเรื่องนี้ ทางกระทรวงการต่างประเทศจึงได้ขอความอนุเคราะห์กรมศิลปากรให้พิจารณาและให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของยูเนสโกที่จะให้ความช่วยเหลือในการบูรณะปราสาทพระวิหารนี้ เมื่อเรื่องนี้ได้มอบหมายมาที่กลุ่มวิชาการอนุรักษ์โบราณสถานในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องการบูรณะโบราณสถาน ก็ได้มีความเห็นผ่านไปทางผู้อำนวยการสำนักโบราณคดีดังนี้<br /><br />๑. ลักษณะการก่อสร้างของปราสาทพระวิหาร มีการใช้หินทรายซึ่งมีความคงทนเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง และยังเป็นการสร้างอาคารบนพื้นหินของภูเขาที่มีความมั่นคง จึงทำให้มีปัญหาเรื่องการทรุดตัวของฐานรากเพียงบางส่วนเท่านั้น และแม้ว่าหินของอาคารจะตกหล่นพังทลายลงมา ก็ยังสามารถดำเนินการอนุรักษ์ให้กลับมาสมบูรณ์ตามสภาพดั้งเดิมได้ด้วยวิธีการที่เรียกว่า อนัสติโลซิส<br />๒. ตัวอย่างกรณีของปราสาทประธานของปราสาทพระวิหาร ที่ส่วนยอดหักพังลงมาทั้งหมด ในอนาคตก็สามารถกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมได้ด้วยการใช้วิธีอนัสติโลซิสนี้ ทั้งนี้ปราสาทประธานได้พังทลายลงมาเป็นเวลานานแล้ว<br />๓. การอนุรักษ์ด้วยวิธีอนัสติโลซิสนี้ มีกระบวนการในการดำเนินการที่ค่อนข้างซับซ้อน จึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการทำงานหลายปีสำหรับแต่ละอาคาร จะต้องใช้พื้นที่ที่อาจจะออกมานอกขอบเขตบริเวณที่เป็นมรดกโลก อันได้แก่พื้นที่พิพาท (แม้แต่การขนส่งเคลื่อนย้ายวัสดุและอุปกรณ์ในการทำงานก็ต้องผ่านทางพื้นที่พิพาททั้งสิ้น) การดำนินการดังกล่าวหากไม่ได้รับการเห็นชอบจากทั้งสองฝ่ายก็จะเป็นประเด็นปัญหาขัดแย้งขึ้นแน่นอน และเนื่องจากการอนุรักษ์ด้วยวิธีอนัสติโลซิสนี้สามารถรอได้เมื่อมีความพร้อม ในระหว่างนี้จึงควรอนุรักษ์ด้วยวิธีในขั้นพื้นฐาน เช่น การค้ำยัน การป้องกันการเสื่อมสภาพเบื้องต้นไว้ก่อนเท่านั้น<br />๔. ความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เท่าที่เห็นจากภาพถ่ายเป็นเพียงรอยกระสุนบนเนื้อหิน ที่ไม่ได้รุนแรงขนาดทำให้โครงสร้างหลักของอาคารพังทลาย หรือเกิดผลกระทบกับเสถียรภาพของอาคาร ทั้งนี้การซ่อมแซมรอยกระสุนดังกล่าวไม่สามารถใช้วิธีอนัสติโลซิสได้ แต่ต้องใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วย อย่างไรก็ตามในกรณีที่ไม่มีผลกระทบกับความมั่นคงแข็งแรงของโบราณสถานเราก็อาจตัดสินใจเก็บรักษาร่องรอยความเสียหายเหล่านี้ไว้เพื่อเป็นหลักฐานให้ระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันสืบเนื่องมาจากการที่กำลังทหารของกัมพูชาเข้ามาใช้ปราสาทพระวิหารเป็นที่กำบัง จึงเป็นผลให้เกิดความเสียหายที่เลี่ยงไม่ได้นี้<br /><br />นอกจากความเห็นในประเด็นด้านเทคนิคการบูรณะของกรมศิลปากรนี้ ก็คงจะมีประเด็นเรื่องผู้ที่จะเข้ามาดำเนินการบูรณะว่าจะเป็นคณะทำงานจากประเทศใด มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการบูรณะโบราณสถานประเภทหินด้วยวิธีอนัสติโลซิสอย่างดีจริงหรือไม่ การดำเนินการบูรณะถือว่าขัดต่อข้อตกลงใน MoU 43 หรือไม่ (อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับการที่เราต้องหยุดการบูรณะปราสาทตาเมือนธมด้วยเหตุนี้มาแล้ว) การยกเลิก MoU จะมีผลเช่นไรในกรณีนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ในการรักษาคุณค่าของมรดกโลกปราสาทพระวิหารอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องทางการเมืองVasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-56835062321699989512011-04-13T20:31:00.000-07:002011-04-13T20:41:16.308-07:00วัดอัปสรสวรรค์ วรวิหาร<div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjkOWOtEdiw7h1L1dlIqM7xANh33BC-PM67T4J3kyp5K4HdcUt8V6rdM9jUGVJHmADZB_P_zzPkED_4p7QFgpMGxGTe9_zIDuGGdYtFUQ92tzIEfX5jAtbA3io6dpBgZXNImlQmS25s2Mk/s1600/Copy+of+IMG_6872.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 174px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5595277500334786386" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjkOWOtEdiw7h1L1dlIqM7xANh33BC-PM67T4J3kyp5K4HdcUt8V6rdM9jUGVJHmADZB_P_zzPkED_4p7QFgpMGxGTe9_zIDuGGdYtFUQ92tzIEfX5jAtbA3io6dpBgZXNImlQmS25s2Mk/s320/Copy+of+IMG_6872.JPG" /></a> วัดอัปสรสวรรค์ วรวิหาร ตั้งอยู่ที่ แขวงปากคลอง เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร แต่เดิมมีชื่อว่า วัดหมู กล่าวกันว่าได้สร้างในที่ดินที่เคยใช้เลี้ยงหมู เมื่อสร้างวัดแล้วก็ยังมีหมูเดินไปมาในวัดจึงเรียกว่า วัดหมู บ้างก็ว่าเศรษฐีจีนชื่อ “อู๋” เป็นผู้สร้างวัด ชาวบ้านจึงเรียกว่า วัดอู๋บ้าง วัดจีนอู๋บ้าง แล้วเพี้ยนไปจนติดปากว่า วัดหมู แต่จะสร้างขึ้นเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ครั้นในสมัยรัชกาลที่ ๓ เจ้าจอมน้อย ผู้เป็นธิดาของเจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม) ใคร่จะปฎิสังขรณ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่บิดา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้สถาปนาใหม่ทั้งวัด และพระราชทานนามว่า วัดอัปสรสวรรค์ เพื่อเป็นที่ระลึกแด่เจ้าจอมน้อย ซึ่งมีความสามารถในการแสดงละครเรื่องอิเหนา เป็นตัวสุหรานากงได้ดี จนมีฉายาเรียกกันว่า เจ้าจอมน้อยสุหรานากง นอกจากนี้ยังได้พระราชทาน พระพุทธรูปปางฉันสมอ มาประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ด้วย พระอุโบสถและพระวิหาร เป็นสิ่งก่อสร้างในรูปแบบพระราชนิยมที่ได้รับอิทธิพลของศิลปะจีน ตามแบบอย่างจากวัดราชโอรสาราม ฯ ภายในพระอุโบสถมีพระประธานจำนวน ๒๘ องค์ เป็นพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัยที่มีลักษณะและขนาดเท่ากันทั้งหมด ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีร่วมกัน ที่ฐานของพระพุทธรูปปรากฏพระนามของแต่ละองค์จารึกไว้ทุกองค์ ลักษณะเช่นนี้ถือว่ามีแห่งเดียวในโลก และที่ด้านข้างพระอุโบสถยังมีหอพระไตรปิฎกไม้ตั้งอยู่ในสระน้ำ ที่มีรูปแบบศิลปะสืบเนื่องมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา เป็นหอไตรที่มีทรวดทรงงดงาม สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตร สุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เคยเสด็จทอดพระเนตรแล้วนำไปเป็นแบบอย่างเพื่อจัดรูปหอเขียนสมัยอยุธยาที่วังสวนผักกาด กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญระดับชาติตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๐ บันทึกในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๙๔ ตอนที่พิเศษ ๗๕ วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๐<img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 207px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5595277793600865106" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiGiD_5rX1YEhJPu6n3OoniTEGN4tLmzvOmJCAOcKY_2yyP4qRDIEShOmTMQx-skwG7ecS08BCxGi4VlGHynPdwKuYygElahjXGaNvqf1B5aJHqOqIysz_6izD95iELYHFm_ar5ewMcVtE/s320/%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B9.bmp" />หอพระไตรปิฎก เป้าหมายการทำงานในโครงการใหม่ของกรรมาธิการอนุรักษ์ สถาปัตยกรรมไทยประเพณี สมาคมสถาปนิกสยามฯ <br /><div></div></div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-59039853405701653912011-03-06T06:48:00.000-08:002011-03-06T07:45:44.086-08:00ประเด็นการวิเคราะห์เบื้องต้นแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHdnFwk1t-c2wEFs_WitA9VtUFzC3fzU1UFpUE3BBEWystn_WoohO5jfnGFd1FVZdXHUjvRPxy6v691Rye4UM03etyiArzBJHBhHO1EAnZKjFUrQyZHU2TeUrOvQuU3coXtZLPow6afUk/s1600/mp+pv001.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 318px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5580993477951490818" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHdnFwk1t-c2wEFs_WitA9VtUFzC3fzU1UFpUE3BBEWystn_WoohO5jfnGFd1FVZdXHUjvRPxy6v691Rye4UM03etyiArzBJHBhHO1EAnZKjFUrQyZHU2TeUrOvQuU3coXtZLPow6afUk/s320/mp+pv001.jpg" /></a><br /><div>ความนำ<br />ราชอาณาจักรกัมพูชาได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ และนำเสนอเข้าวาระการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ ๓๑ ณ เมืองไครสเชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ซึ่งได้ระบุเงื่อนไขไว้ ๓ ประการว่า หากแม้นกัมพูชามีความเข้มแข็งในการอนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร หากแม้นกัมพูชาเสนอแผนการจัดการอนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร ภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์๒๕๕๑ และหากแม้นราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทยสนับสนุนและประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ราชอาณาจักรกัมพูชาจักประสบความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก<br />ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ ๓๒ ณ เมืองควิเบค ประเทศแคนาดา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยนายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีประกาศว่าได้ดำเนินการจนบรรลุผลดีมากยิ่ง กว่าเงื่อนไข ปราสาทพระวิหารได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมรดกโลกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยเกณฑ์คุณสมบัติข้อที่ ๑ คือ คุณค่าความโดดเด่นเป็นสากลทางด้านการเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งความสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ โดยที่ข้อทักท้วงและข้อเสนอในการขึ้นทะเบียนร่วมจากราชอาณาจักรไทยไม่ประสบผลสำเร็จ<br />ที่ประชุมระบุว่าหากมีผลงานวิจัยทางโบราณคดีที่อาจเกี่ยวเนื่องกับขอบเขตข้ามพรมแดนของแหล่งแนวใหม่ จักต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย ฝ่ายกัมพูชาจักต้องประสานกับฝ่ายไทยในการปกป้องคุ้มครองคุณค่าของสมบัติวัฒนธรรม โดยคำนึงถึงประชาชนของทั้งสองฝ่ายรอบอาณาบริเวณ ที่ได้เชิดชูบูชาปราสาทพระวิหารมาช้านาน<br />นอกจากนี้ที่ประชุมขอให้ฝ่ายกัมพูชาจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานนานาชาติเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหาร(ICC) โดยให้ราชอาณาจักรไทยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการด้วย<br />ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ ๓๓ ณ เมืองเซบิย่า ประเทศสเปน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ราชอาณาจักรกัมพูชาจะต้องเสนอแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารและเขตกันชนรวมทั้งแผนที่ให้กับคณะกรรมการมรดกโลกภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓<br />และในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ ๓๔ ณ กรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล คณะกรรมการมรดกโลกรับแผนการบริหารจัดการของราชอาณาจักรกัมพูชาและจะพิจารณาแผนนี้ในการประชุม สมัยที่ ๓๕ ในปี ๒๕๕๔<br /><br />ข้อพิจารณา<br />หากพิจารณาจากเอกสารที่ราชอาณาจักรกัมพูชานำเสนอ มีข้อทักท้วงที่สามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเด็นซึ่งเกี่ยวข้องกับมติของคณะกรรมการมรดกโลก ดังนี้<br />๑ แผนการบริหารจัดการไม่ส่งเสริมคุณค่าความโดดเด่นที่เป็นสากล<br />๒ แผนบริหารจัดการไม่ส่งเสริมให้มีคณะกรรมการประสานงานนานาชาติเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหาร<br />๓ แผนบริหารจัดการยังคงแสดงให้เห็นถึงปัญหาในเรื่องเขตแดน<br /><br />ประเด็นที่ ๑ แผนการบริหารจัดการไม่ส่งเสริมคุณค่าความโดดเด่นที่เป็นสากล {Outstanding Universal Value – (OUV)} ในเรื่องคุณค่าที่แท้จริงและความครบถ้วนของแหล่ง (Integrity)<br /><br />· ในบทที่ ๒ ของแผนการจัดการได้เขียนคำอธิบายในวงเล็บหลังชื่อปราสาทพระวิหารว่า “the temple of the sacred mountain” ทั้งๆที่ไม่ใช่ความหมายหรือคำแปลของชื่อปราสาทแต่อย่างใด อาจจะเพี้ยนมาจากความหมายของเขาพระวิหารที่หมายถึงภูเขาที่เป็นที่ตั้งของศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้อเท็จจริงในเรื่องชื่อนี้ สืบเนื่องมาจากการที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้เสด็จมายังปราสาทแห่งนี้เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๒ ได้จารึกพระนามและร.ศ.ที่ค้นพบปราสาทไว้ที่เป้ยตาดี ทรงขนานนามปราสาทว่า ปราสาทพรหมวิหาร ซึ่งเรียกกันทั่วไปต่อมาว่า ปราสาทพระวิหาร<a style="mso-footnote-id: ftn1" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a> และแปลเป็นสำเนียงภาษาเขมรว่า Preah Vihear ในขณะที่ชื่อดั้งเดิมของปราสาทตามจารึกได้แก่ ศีรศิขเรศวร แปลว่า ภูเขาแห่งพระอิศวร<br />· ในแผนการจัดการนี้มีการแสดงความสัมพันธ์ของปราสาทพระวิหารกับแหล่งมรดกอื่นทั้งในราชอาณาจักรกัมพูชาและในภูมิภาคใกล้เคียง ในฐานะส่วนยอดสามเหลี่ยมของพื้นที่วัฒนธรรมสมัยเมืองพระนครและสมัยก่อนเมืองพระนคร นอกเขตประเทศกัมพูชายังได้แสดงความเชื่อมโยงจากเมืองพระนครมาสู่ปราสาทพระวิหารต่อไปยังปราสาทวัดพูใน สปป.ลาว และมิเซินในเวียดนาม ทั้งที่ตามหลักฐานทางโบราณคดี เส้นทางโบราณจากเมืองพระนครไปยังปราสาทวัดพูไม่ได้ผ่านทางปราสาทพระวิหาร<a style="mso-footnote-id: ftn2" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a> (ระหว่างพระวิหารและวัดพูน่าจะมีการเชื่อมต่อกันทางแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขงที่อยู่ในด้านพื้นที่ของประเทศไทยมากกว่า) และทั้งๆที่มีแหล่งโบราณสถานสำคัญอื่นๆซึ่งเชื่อมโยงกับเมืองพระนครที่อยู่ในประเทศไทย เช่น ปราสาทพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง กลับไม่ได้มีการเชื่อมโยงแสดงความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ที่จะนำมาพัฒนาทางด้านการท่องเที่ยวได้ เป็นการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการขึ้นมาอย่างไม่ครบถ้วนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการไม่ให้ประเทศไทยเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย<br />· ในประเทศไทยมีหลักฐานของอารยธรรมขอมที่เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยเจนละในยุคก่อนเมืองพระนคร(ก่อนการก่อตั้งเมืองพระนครเป็นเมืองหลวง) ร่วมสมัยกับปราสาทวัดพู เรื่อยมาจนถึงยุคเมืองพระนคร และยังเป็นถิ่นฐานของราชวงศ์มหิธรปุระซึ่งได้ไปครองราชย์ที่เมืองพระนคร<a style="mso-footnote-id: ftn3" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn3" name="_ftnref3">[3]</a> ดังเช่นพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ผู้สร้างปราสาทนครวัด หรือพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ผู้สร้างนครธม ก็อยู่ในราชวงศ์นี้ แม้แต่พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ผู้สร้างปราสาทพระวิหารเองก็ทรงมาจากราชวงศ์ใหม่ที่มีฐานอำนาจจากนอกพื้นที่ราชอาณาจักรกัมพูชาเช่นเดียวกัน<a style="mso-footnote-id: ftn4" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn4" name="_ftnref4">[4]</a> จึงมีการสร้างปราสาทขอมในบริเวณตั้งแต่แนวทิวเขาพนมดงรักขอบสูงสุดของที่ราบสูง เป็นต้นน้ำที่ไหลลงมารวมกันเป็นแม่น้ำมูลก่อนจะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำชีออกสู่แม่น้ำโขง เกิดเป็นเมืองและชุมชนโบราณมากมาย ในดินแดนที่เรียกว่าเขมรสูง แม้แต่ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับปราสาทพระวิหารนี้ก็มีเมืองโบราณและปราสาทหินหลายหลัง(๑๑ แหล่ง)<a style="mso-footnote-id: ftn5" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn5" name="_ftnref5">[5]</a> เช่น ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ซึ่งมีจารึกที่ข้อความชี้ชัดว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับปราสาทพระวิหาร และในปัจจุบันก็ยังมีประชาชนที่สืบเชื้อสายและวัฒนธรรมจากอดีตพูดภาษาเขมรในพื้นที่ ข้อมูลทั้งหมดนี้สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนในดินแดนอิสานใต้และปราสาทพระวิหาร จึงเหมือนว่าเป็นการละเลยข้อเท็จจริงดังกล่าวในแผนการจัดการนี้<br />· ข้อมูลการตีความวิเคราะห์ความสำคัญของปราสาทที่กล่าวถึงเฉพาะในทิศทางที่เป็นพื้นที่ของกัมพูชาเท่านั้น เป็นการดำเนินการทางวิชาการที่ไม่ครบถ้วน ที่อาจมีนัยตามความวัตถุประสงค์ที่จะไม่ให้มีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซึ่งหากย้อนไปดูการตีความในช่วงแรกโดยผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสจะเห็นว่าเคยให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์ของภูเขา ๕ ยอด ที่หมายถึงเขาพระสุเมรุ โดยมีเขาพระวิหารเป็นยอดสูงสุดตรงกลาง ต่อมาเมื่อผู้เชี่ยวชาญอินเดียได้เข้ามาร่วมในคณะก็เปลี่ยนเป็นเขา ๓ ยอดตามลักษณะตรีศูลอาวุธของพระศิวะและกล่าวว่าแนวแกนเหนือ-ใต้ ของปราสาทหมายถึงส่วนด้ามของตรีศูล<a style="mso-footnote-id: ftn6" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn6" name="_ftnref6">[6]</a> และล่าสุดตามข้อมูลในแผนการจัดการกลับกล่าวว่าภูเขา ๓ ยอดได้แก่ เขาพระวิหาร ภูมะเขือ และเขาสัตตะโสม หมายถึง ตรีมูรติ ได้แก่ พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม แสดงให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อถือของข้อมูลทางวิชาการ จากการที่สามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยเนื่องจากเป็นการตีความแบบคิดเอาเอง ไม่มีการตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่โดยละเอียดหรืออ้างอิงเอกสารวิชาการในอดีตที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งในทางปฏิบัติทางกัมพูชายังได้สร้างเสาส่งสัญญาณที่ภูมะเขือ ที่ถือว่าเป็นตัวแทนของหนึ่งในเทพทั้งสาม เป็นการไม่ให้ความเคารพแก่พื้นที่ตามที่ตีความนี้เลย ความจริงที่ภูมะเขือและเขาสัตตะโสมยังไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีแต่อย่างใดในขณะที่ในยอดที่อยู่ถัดไปทางตะวันออกเป็นที่ตั้งของปราสาทโดนตวลที่ร่วมสมัยกับปราสาทพระวิหาร<a style="mso-footnote-id: ftn7" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn7" name="_ftnref7">[7]</a> แต่ไม่มีการกล่าวถึงหรือให้ความสำคัญ<br />· ในบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารตั้งแต่บนยอดเขาไล่ต่อลงมาจนถึงในพื้นที่ของประเทศไทยล้วนพบหลักฐานทางโบราณคดีที่มีความสำคัญหลายจุด ไม่ใช่เฉพาะในพื้นที่ทางด้านตะวันตกของปราสาทตามที่ระบุในแผน เป็นการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดจากความไม่ครบถ้วน ซึ่งจะไม่สามารถนำไปสู่แผนการจัดการที่ดีได้ หลักฐานทางโบราณคดีที่ต่อเนื่องในเขตประเทศไทยประกอบด้วย รูปสลักศิวลึงค์ เขื่อนโบราณและสระตราว เขื่อนโบราณบริเวณใกล้บันไดใหญ่ (ในพื้นที่ที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์) เพิงหินและภาพสลักผามออีแดง ถ้ำขุนศรี แหล่งตัดหิน สถูปคู่ ปราสาทโดนตวล และชุมชนโบราณ”กุรุเกษตร”<a style="mso-footnote-id: ftn8" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn8" name="_ftnref8">[8]</a><br />· ปราสาทพระวิหาร เป็นสุดยอดของการเลือกที่ตั้งสำหรับการก่อสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สื่อถึงเขาไกรลาศที่สถิตของพระศิวะ ผู้เป็นเทพสูงสุดของลัทธิไศวนิกายในศาสนาฮินดู ด้วยภูเขาที่มีหน้าผาสูงทัศนียภาพประดุจสรวงสวรรค์ เป็นสุดยอดของงานสถาปัตยกรรมขอมที่มีการออกแบบอย่างเยี่ยมยอดทั้งด้วยความงามทางศิลปะสถาปัตยกรรม และด้วยการจัดลำดับการเข้าถึงที่เน้นให้เกิดความสง่างาม จากทางเข้า ผ่านซุ้มโคปุระชั้นต่างๆ ตามทางเดินที่ประดับด้วยเสานางเรียงที่ช่วยนำสายตา สู่เทวาลัยชั้นสูงสุด มีการวางแนวแกนสอดคล้องกับลักษณะทางภูมิประเทศของที่ตั้งจากทิศเหนือมาสู่ทิศใต้ แม้ทางเข้าทางทิศเหนือจะมิใช่ทางเข้าออกเพียงทางเดียวของปราสาทดังปรากฏหลักฐานร่องรอยบันไดที่เชื่อมต่อกับที่ราบเบื้องล่างทางทิศตะวันออก และทางเดินยกระดับด้านทิศตะวันตก เมื่อพิจารณาในเรื่องของขนาดและทิศทางแนวแกนแล้วก็ยากที่จะปฏิเสธได้ว่าเส้นทางดังกล่าวเป็นเพียงทางเข้าที่มีความสำคัญในระดับรองลงไปเท่านั้น แต่ในแผนการจัดการนี้กลับกล่าวว่าบันไดทางด้านตะวันออกเป็นทางเข้าหลัก และการเข้าถึงที่ดีที่สุดในอันที่จะสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของปราสาทพระวิหารคือจากที่ราบทางทิศใต้ ทั้งที่เมื่อพิจารณามุมมองจากพื้นราบที่หันสู่ปราสาทพระวิหาร ตลอดเส้นทางถนนในปัจจุบัน จะพบว่ามีเพียงมุมมองจากด้านตะวันออกเท่านั้นที่สามารถสังเกตเห็นสิ่งก่อสร้างของปราสาทพระวิหารได้<br />นอกจากนี้แผนการจัดการยังขาดข้อมูลที่ชัดเจนและความเหมาะสมในด้านการจัดการและการอนุรักษ์ดังนี้<br />· โดยปกติในการจัดทำแผนการจัดการควรจะต้องมีความชัดเจนของขอบเขตพื้นที่ที่จะดำเนินการก่อน ในกรณีที่มีปัญหาจึงจะต้องมีการหารือตกลงกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีส่วนได้ส่วนเสียก่อน ดังจะเห็นได้จากการที่คณะกรรมการมรดกโลกมีมติให้กัมพูชาส่งแผนที่ที่แสดงขอบเขตของโซนนิ่งต่างๆ ที่ชัดเจนก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยส่งแผนการจัดการฉบับเต็มภายหลัง แต่ที่ผ่านมาการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากไม่มีการเจรจากับประเทศไทยจึงไม่มีการส่งแผนที่ที่ชัดเจนก่อนการนำเสนอแผนการจัดการในครั้งนี้ซึ่งจะถือว่าเป็นการข้ามขั้นตอนที่ขัดต่อมติของคณะกรรมการมรดกโลกหรือไม่<br />· ในเอกสารมีการกำหนดขอบเขตของพื้นที่ต่างๆ แบ่งเป็น พื้นที่มรดกโลก พื้นที่กันชน และพื้นที่ปกป้องภูมิทัศน์ โดยใช้แผนที่แสดงขอบเขตของพื้นที่ต่างๆ แต่ในหน้าที่ควรจะเป็นผังแสดงพื้นที่กันชนนั้นข้อมูลกลับขาดหายไป (หน้า ๕๓) ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่าพื้นที่กันชนตามคำอธิบายน่าจะตรงกับพื้นที่ที่ปรากฏในผังแสดงตำแหน่งบาราย (หน้า ๖๒) เป็นความไม่ชัดเจนของเอกสาร<br />· มีการอธิบายถึงพื้นที่กันชนว่าไม่รวมพื้นที่ทางด้านทิศเหนือและตะวันตกของปราสาท (เรียกว่าพื้นที่นอกเขตกันชน หมายถึงพื้นที่ที่ประเทศไทยยังอ้างสิทธิ์) โดยไม่มีขอบเขตชัดเจนว่าไปสุด ณ ที่ใด โดยระบุว่าเป็นการกำหนดพื้นที่กันชนแบบชั่วคราวจนกว่าจะมีการตกลงกันโดย JBC ระหว่างไทยและกัมพูชา ในขณะที่ได้มีการเสนอให้ขยายพื้นที่กันชนออกไปให้ครอบคลุมบารายด้านตะวันตกและตะวันออก ปราสาทโต๊ด (ตามข้อมูลเดิมเรียกปราสาทมณีวงศ์)<a style="mso-footnote-id: ftn9" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn9" name="_ftnref9">[9]</a>ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่บ้านโกมุย รวมทั้งพื้นที่ด้านทิศใต้ของปราสาทเพื่อรักษาพื้นที่ประวัติศาสตร์โบราณคดีและสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ซึ่งเมื่อดูตามผังแสดงพื้นที่โดยรวมในหน้า ๕๔ พื้นที่กันชนที่เสนอให้ขยายนี้น่าจะหมายถึง Zone 2a และ 2b จะเห็นว่าการขยายพื้นที่ดังกล่าวมิได้จำกัดเฉพาะพื้นที่ทางทิศใต้ของปราสาทเท่านั้น แต่ยังมีขอบเขตมาถึงพื้นที่เขตแดนระหว่างประเทศด้วย จึงจำเป็นจะต้องเป็นการหารือกับประเทศไทยในการทำงานของ JBC ด้วยเช่นเดียวกัน<br />· แม้ผังแสดงพื้นที่กันชนจะขาดหายไป หรือในผังแสดงตำแหน่งบารายที่ให้ข้อมูลขอบเขตของพื้นกันชนชั่วคราวนี้ได้ จะไม่ได้แสดงเส้นเขตแดนระหว่างประเทศที่อาจจะเป็นประเด็นปัญหาให้ฝ่ายไทยคัดค้าน แต่ในเอกสารและผังที่แจกในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บราซิเลีย ก็ได้แสดงเส้นและระบุว่าเป็นเขตแดนระหว่างประเทศตามที่กัมพูชายึดถือไว้ด้วยทางด้านทิศเหนืออย่างชัดเจน รวมทั้งผังแสดงพื้นที่โดยรวมในแผนการจัดการ หน้า ๕๔ และ ๖๓ ที่แสดงพื้นที่กันชนซึ่งเสนอให้ขยายเพิ่มเติมและพื้นที่ปกป้องภูมิทัศน์โดยรอบ ก็ได้ใช้เส้นเขตแดนระหว่างประเทศเป็นขอบเขตทางทิศเหนือที่จะต้องอยู่ในการดูแลของ JBC ด้วยทั้งสิ้น<br />· ขอบเขตพื้นที่กันชนชั่วคราวด้านทิศเหนือทางซ้ายของปราสาทใช้ขอบหน้าผาเป็นเขตลากมาเชื่อมกับตัวปราสาทให้คลุมพื้นที่เป้ยตาดีแบบไม่มีจุดอ้างอิง ในขณะที่ทางขวาของปราสาทเป็นพื้นที่กันชนทั้งหมดที่มีทางเดินโบราณช่องบันไดหักเป็นเขต ส่วนทางด้านอื่น ใช้เส้นถนนขึ้นเขาทางทิศตะวันตก ถนนทางทิศใต้ และถนนด้านทิศตะวันออกเป็นแนวขอบเขตพื้นที่ แสดงถึงการกำหนดพื้นที่เพื่อการจัดการที่ไม่ได้มาตรฐาน จึงเห็นควรที่จะขยายพื้นที่ให้เป็นพื้นที่กันชนทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเฉพาะในฝั่งถนนหรือทางเดินข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจะทำให้มีมาตรการในการควบคุมดูแลเพียงข้างเดียวในขณะที่ไม่มีการควบคุมในฝั่งตรงข้ามที่อยู่ต่อเนื่องกัน<br />· นอกจากพื้นที่กันชนยังมีการกำหนดเป็นพื้นที่ปกป้องภูมิทัศน์ที่ระบุว่าเป็นการปกป้องคุ้มครองในลำดับถัดมา ทั้งพื้นที่กันชนและพื้นที่ปกป้องภูมิทัศน์ได้ระบุให้ควบคุมการก่อสร้างให้มีน้อยและเพียงเท่าที่มีความจำเป็น ห้ามไม่ให้มีการก่อสร้างหรือการพัฒนาขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์ใด แต่ยังไม่มีรายละเอียดที่แสดงถึงมาตรการที่ใช้ในการควบคุมและความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสองประเภทนี้ รวมทั้งพื้นที่อื่นๆที่แยกเป็นส่วนต่างๆตามผังก็ยังไม่มีรายละเอียดของการดำเนินการเฉพาะในแต่ละพื้นที่ที่ชัดเจนแต่อย่างใด จึงถือได้ว่ายังเป็นแผนการจัดการที่ไม่สมบูรณ์<br />· ในแผนการจัดการกล่าวถึงการเข้าถึงแหล่งโดยทางทิศตะวันตกเป็นการพัฒนาทางขึ้นเขาผ่านมาทางหมู่บ้านโกมุยมาจนถึงที่วัดแก้วฯ สำหรับทางเข้าโดยรถยนต์ ในขณะที่ด้านบันไดตะวันออกที่ระบุว่าเป็นทางเข้าหลัก เป็นทางเดินเท้าจากจุดที่จะก่อสร้างศูนย์นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเรื่องการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆในพื้นที่ ได้แก่ ห้องน้ำ และตลาดในบริเวณด้านหน้าบันไดใหญ่ (เรียกว่า old market ทั้งๆที่เป็นสิ่งที่มาปลูกสร้างกันภายหลังเช่นเดียวกับวัดแก้วฯ ที่แผนนี้พยายามแสดงให้เห็นว่าชุมชนและสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้มีมานานแล้ว) การสร้างตลาดขึ้นมาใหม่ที่ด้านหน้าบันไดใหญ่ การสร้างบันไดไม้ขึ้นทางช่องบันไดหัก และถนนขึ้นเขาทางทิศตะวันตก ที่ทำให้การเข้าถึงปราสาทไม่ต้องผ่านบันไดใหญ่ ยังแสดงถึงการไม่ให้ความสำคัญกับบันไดใหญ่ ทางเข้าหลักในแนวแกนของปราสาท ทั้งๆที่เป็นองค์ประกอบที่มีคุณค่ามาก จึงถือว่าเป็นวางแผนการจัดการพื้นที่ที่ไม่ถูกต้อง<br /><br />ประเด็นที่ ๒ แผนบริหารจัดการไม่ส่งเสริมให้มีคณะกรรมการประสานงานนานาชาติเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหาร {International Coordinating Committee (ICC)}<br /><br />· ในหัวข้อ Proposed Management Mechanism ของแผนการจัดการได้กล่าวถึงการก่อตั้ง Preah Vihear Monitoring & Conservation Committee (PVMCC) ที่ ประกอบด้วยผู้แทนจากยูเนสโก ICOMOS ICCROM ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาระหว่างประเทศ Ad Hoc international experts group โดยกำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามแผนการจัดการนี้ ซึ่งเหมือนกับภารกิจของ International Coordinating Committee (ICC) เพียงแต่ไม่มีการเชิญให้ประเทศไทยเข้ามีส่วนร่วมในการดูแลนี้ ทั้งนี้ยังได้ระบุว่าจะมีการจัดตั้ง ICC (ตามมติ) ขึ้นในอนาคต ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อมี PVMCC แล้วก็คงไม่มีความจำเป็น<br />· นาย Divay Gupta ผู้จัดทำแผนการจัดการนี้เป็นสถาปนิกด้านการอนุรักษ์และผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการมรดกวัฒนธรรมจากประเทศอินเดีย ซึ่งยังเป็นนักวิชาการที่อิโคโมสสากลมอบหมายให้ทำหน้าที่ประเมินเอกสารนำเสนอเป็นมรดกโลก (nomination dossier) ของปราสาทพระวิหาร ที่ต่อมาได้มาร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญนานาชาติในการจัดทำรายงานความก้าวหน้าเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกตั้งแต่ก่อนที่จะได้บรรจุในบัญชีมรดกโลก จากนั้นได้เข้าร่วมเป็น Ad Hoc international experts group ของ National Authority of Preah Vihear และได้เป็นส่วนหนึ่งของ PVMCC ด้วย ทั้งนี้ไม่มีข้อมูลว่าในการประเมินข้อมูลของอิโคโมสในครั้งนี้จะยังเป็นหน้าที่ของนาย Gupta ซึ่งเป็นผู้จัดทำแผนนี้เองด้วยหรือไม่<br /><br />ประเด็นที่ ๓ แผนบริหารจัดการยังคงแสดงให้เห็นถึงปัญหาในเรื่องเขตแดน<br /><br />· การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่ระบุในแผนการจัดการ ไม่ว่าห้องน้ำ หรือ ตลาดในบริเวณด้านหน้าบันไดใหญ่ มีภาพประกอบที่แสดงว่าได้มีการดำเนินการไปแล้ว ที่ถือว่ารุกล้ำเขตพื้นที่ประเทศไทย ขัดต่อ MOU ๔๓ ทั้งที่ในแผนการจัดการระบุว่าพื้นที่ซึ่งอยู่นอกเขตพื้นที่กันชน (ทางด้านเหนือและตะวันตกของปราสาท) จะต้องรอการตกลงกันของ JBC ดังนั้นการพัฒนา การก่อสร้างที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้จึงน่าจะต้องเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาร่วมกันก่อนด้วย จึงเป็นประเด็นที่ประเทศไทยควรจะต้องประท้วงนอกเหนือจากเรื่องการพัฒนาถนนทางขึ้นเขาที่ล้ำเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวนี้<br />· ในแผนการจัดการนี้นอกจากจะกล่าวถึงกิจกรรมและข้อเสนอแนะต่างๆที่ระบุให้ดำเนินการในพื้นที่ของประเทศไทยที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังปรากฏเป็นหลักฐานในผังต่างๆ เช่น ในผังเส้นชั้นความสูงหน้า ๖ ผังแสดงการตีความคุณค่าของพื้นที่ หน้า ๒๕ ผังการแบ่งพื้นที่โดยรวม หน้า ๕๔ ผังแสดงการเข้าถึงพื้นที่ หน้า ๕๖ ผังที่ตั้งห้องน้ำและตลาด หน้า ๕๘ ผังแสดงตำแหน่งบาราย หน้า ๖๒ ผังแสดงพื้นที่ Eco Compatible Village หน้า ๖๓<br />· การดำเนินการกิจกรรมต่างๆตามแผนนี้ มีหลายกรณีที่มีข้อแนะนำให้ประกาศเป็นกฎหมาย ที่อาจเป็นประเด็นการบังคับใช้กฎหมายกัมพูชาในดินแดนไทยได้<br /><a style="mso-footnote-id: ftn1" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม. แอ่งอารยธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๓๓.<br /><a style="mso-footnote-id: ftn2" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref2" name="_ftn2">[2]</a> Lajonquiere, E. L. Inventaire Descriptif des Monuments du Cambodge. Paris: Imprimarie Nationale, 1907. และ Aymonier, E. Le Cambodge, Tome II. Les Provinces Siamoises. Paris: Ernest Leroux, 1901.<br /><a style="mso-footnote-id: ftn3" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref3" name="_ftn3">[3]</a> จิโต มาดแลน. ประวัติเมืองพระนครของขอม. แปลโดย สุภัทรดิศ ดิศกุล, หม่อมเจ้า. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๖.<br /><a style="mso-footnote-id: ftn4" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref4" name="_ftn4">[4]</a> ...พระเจ้าสูริยวรมันที่ ๑ กษัตริย์ผู้พิชิตจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา... จาก เซเดส์ ยอร์ช. เมืองพระนคร นครวัด นครธม. แปลโดย ปรานี วงษ์เทศ. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๓.<br />และ ชา อวม, ไผ เผง และโสม อิม. ประวัติศาสตร์กัมพูชา ตำราเรียนของเขมร. แปลโดย ศานติ ภักดีคำ. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๖. หน้า ๒๖<br /><a style="mso-footnote-id: ftn5" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref5" name="_ftn5">[5]</a> จาก กรมศิลปากร. สำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี. รายงานการสำรวจทางโบราณคดีจังหวัดศรีสะเกษ. ๒๕๔๗.<br /><a style="mso-footnote-id: ftn6" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref6" name="_ftn6">[6]</a> ข้อมูลจากการเข้าร่วมประชุม The Consultative Meeting of International Expert Teams on the Inscription of Preah Vihear Temple as World Hertage Site. Siem Reap, 11 – 13 January 2008.<br /><a style="mso-footnote-id: ftn7" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref7" name="_ftn7">[7]</a> ดูรายละเอียด ภาคผนวก ข้อโต้แย้งทางวิชาการในรายงานการประเมินของ ICOMOS กรณีกัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนโบราณสถานปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งมรดกโลก จัดทำโดย กรมศิลปากร และอิโคโมสไทย<br /><a style="mso-footnote-id: ftn8" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref8" name="_ftn8">[8]</a> เรื่องเดียวกัน<br /><a style="mso-footnote-id: ftn9" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref9" name="_ftn9">[9]</a> ข้อมูลจากการร่วมสำรวจพื้นที่ตามคำเชิญของกัมพูชา เมื่อวันที่ ๓ – ๔ มกราคม ๒๕๕๑</div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-14350462015860810052011-03-06T06:00:00.000-08:002011-03-06T06:47:02.179-08:00บ้านป้ายิ่ง<img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 149px; DISPLAY: block; HEIGHT: 200px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5580971452272621522" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwdSdzZZ52B3gXcWwmlDWU0BVn9oArwhVP3TakzqfkRwXOctIxtbPskj0Tu2M29XbZCksP21iAFMz6x1fP0M8fREmYe7BCG26bgq4dJ8E4kTKKi_dFhXEEAHEYb8wtMCYtP2OGd_WSDKw/s200/banlaem003.jpg" /><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIfGetNGalt7RsQ6Xjb6LmS99utnzmdtpUzJCcbI4Zk2kEjCRjRXgntvhHkzUqD7GH7f0zdJy7Sl6I5cvXqf4ipU7PXPglUXu3AmtMibj5YyVnJ-1ycb0aeVEhYV3uEWGTWoYOY3q97Uw/s1600/IMG_2769.JPG"><img style="WIDTH: 200px; HEIGHT: 112px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5580975641269371362" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgIfGetNGalt7RsQ6Xjb6LmS99utnzmdtpUzJCcbI4Zk2kEjCRjRXgntvhHkzUqD7GH7f0zdJy7Sl6I5cvXqf4ipU7PXPglUXu3AmtMibj5YyVnJ-1ycb0aeVEhYV3uEWGTWoYOY3q97Uw/s200/IMG_2769.JPG" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJP8xdrozrjAYAQztxY9u925C0isS_DvWgNsAl9fnwmNazdY1hZ3FUomXW3cdbvvgbV2HsY6XlTCIPuHqm2EfGtNyT7DEKFlyiimxzxU91nI5qVcXvNwShVYlzk9knWd15KJmgxOAZ0Mg/s1600/IMG_2775.JPG"><img style="WIDTH: 200px; HEIGHT: 112px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5580975632033805922" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJP8xdrozrjAYAQztxY9u925C0isS_DvWgNsAl9fnwmNazdY1hZ3FUomXW3cdbvvgbV2HsY6XlTCIPuHqm2EfGtNyT7DEKFlyiimxzxU91nI5qVcXvNwShVYlzk9knWd15KJmgxOAZ0Mg/s200/IMG_2775.JPG" /></a><br /><div> </div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiipIaeB0P2nRGV3yYQEKzZ6TldQGRutnrI-dNUyH4JVCOm0YvVmk6_QvCLsUyYH2gwGdyOzs_keAlytjhxReW5OqLM-8ietB0MDbpj9QXSx9H4EvoV-wuKki30SBICUb1wUt0pzyHzpag/s1600/IMG_2772.JPG"><img style="WIDTH: 112px; HEIGHT: 200px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5580975636350493458" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiipIaeB0P2nRGV3yYQEKzZ6TldQGRutnrI-dNUyH4JVCOm0YvVmk6_QvCLsUyYH2gwGdyOzs_keAlytjhxReW5OqLM-8ietB0MDbpj9QXSx9H4EvoV-wuKki30SBICUb1wUt0pzyHzpag/s200/IMG_2772.JPG" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1utKO9MrukI5U3GGLRxFmNeNldifm6CK8s3su0jya9_Oyw8UXzX_GAlBAPAwQzQCpjx92qSnCY0UvZ9YsTaKqGU5nrRDL8iHRdrO0q2QHhlud9qMuZ6XpU2n7B9r4OZ4rxJUiQc_oiWI/s1600/IMG_2788.JPG"><img style="WIDTH: 112px; HEIGHT: 200px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5580975645915385026" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1utKO9MrukI5U3GGLRxFmNeNldifm6CK8s3su0jya9_Oyw8UXzX_GAlBAPAwQzQCpjx92qSnCY0UvZ9YsTaKqGU5nrRDL8iHRdrO0q2QHhlud9qMuZ6XpU2n7B9r4OZ4rxJUiQc_oiWI/s200/IMG_2788.JPG" /></a><br /></div><div><div><div><div><div>บ้านป้ายิ่ง เป็นเรือนไทยที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเพชรบุรี อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี นายเชยและนางอ๋วนได้สร้างขึ้นโดยใช้ช่างชาวจีนซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมกันมากในสมัยนั้น ปัจจุบันในละแวกเดียวกันกับบ้านป้ายิ่งมีบ้านลักษณะเดียวกันประมาณ ๑๕ หลัง ซึ่งรายละเอียดของบ้านแต่ละหลังจะแตกต่างกันไป ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ นายมุ่นเซ่ง จั่นบุญมี บุตรนายเชยและนางอ๋วน ได้รื้อบ้านริมน้ำมาปลูกเป็นเรือนครัวทางด้านทิศตะวันออกของเรือนใหญ่โดยมีทางเดินเชื่อมต่อกัน เนื่องจากบ้านปลูกอยู่ริมแม่น้ำเพชรบุรีในเขตอำเภอบ้านแหลมที่อยู่ติดทะเล มีช่วงเวลาที่น้ำทะเลหนุนเอ่อทำให้ระดับน้ำสูงท่วมเป็นประจำทุกปีตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ ปัจจุบันพื้นที่ของบ้านมีการถมสูงขึ้นประกอบกับอายุของตัวบ้าน ทำให้บ้านเตี้ยลงจนเดินลอดเข้าไปใช้สอยบริเวณใต้ถุนบ้านไม่สะดวกได้ดังเดิม โดยปัญหาน้ำท่วมขังก็ยังคงอยู่ โคนเสาเรือนผุกร่อน เนื้อปูนของกระเบื้องหลังคาเสื่อมสภาพ รวมทั้งปั้นลมและฝาผนังไม้ส่วนใหญ่ได้เสื่อมสภาพไปมาก ในขณะที่นางบุญยิ่ง กิ่งแก้ว บุตรนายมุ่นเซ่ง จั่นบุญมี ผู้เป็นเจ้าของบ้านในปัจจุบันซึ่งมีอายุมากแล้วมีสุขภาพไม่แข็งแรงนักจึงจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมกว่า ดังนั้น พ.ศ. ๒๕๕๑ ลูกหลานของป้ายิ่งจึงเห็นพ้องต้องกันที่จะได้ทำการบูรณะซ่อมแซมบ้านให้คงสภาพเดิมมากที่สุดเพื่อท่านได้กลับมาอาศัยอยู่ ณ บ้านอันเป็นที่รักของท่านอีกครั้งดังที่เห็นในปัจจุบัน</div><br /><div>บ้านป้ายิ่งเป็นเรือนไม้ยกพื้นสูง ทรงสอบ หลังคาจั่วทรงจอมแห มุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์ ประตูและหน้าต่างไม้ ใช้ประตูบานเฟี้ยม มีการประดับด้วยลวดลายไม้แกะสลักที่มีความหมายมงคล การวางผังเรือนมีลักษณะปิดล้อมแบบสมมาตร โดยแนวแกนหลักของเรือนวางตั้งฉากกับแม่น้ำเพชรบุรี มีบันได ซุ้มประตูทางเข้า ชานแดด พาไล เรือนกลาง และเรือนใหญ่วางในตำแหน่งกลางแนวแกน มีเรือนเล็กเป็นเรือนบริวารทั้งด้านซ้ายและขวาของชานแดด ด้านทิศตะวันออกของพาไล เรือนกลาง และเรือนใหญ่มีส่วนที่ต่อเติมขึ้นภายหลังเป็นระเบียงที่มีหลังคาคลุมกว้าง ๒ เมตร ขนานไปกับผนังห้องทั้ง ๓ เป็นพื้นที่พักผ่อนของครอบครัวและมีทางเดินเชื่อมไปเรือนครัว เห็นได้ว่าลักษณะการวางผังเรือนบ้านป้ายิ่งนี้มีอัตลักษณ์แตกต่างจากการวางผังเรือนของคนไทยพื้นถิ่นทั่วไปที่นิยมวางตามตะวัน และมีลักษณะการวางผังที่สามารถเชื่อมโยงได้กับวัฒนธรรมการปลูกสร้างอย่างจีนภายใต้ลักษณะองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมไทย แสดงถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดโดยสถาปัตยกรรม อาคารหลังนี้จึงถือเป็นตัวอย่างที่สำคัญของเรือนไทยในรูปแบบพิเศษของกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีนที่พบในชุมชนลุ่มน้ำเพชรบุรี</div><br /><div>การซ่อมแซมและการปรับปรุงบ้านป้ายิ่งได้มีการรื้อถอนส่วนต่อเติมที่ไม่สวยงามออก ซ่อมเปลี่ยนส่วนที่เสื่อมสภาพตามรูปแบบ วัสดุ และเทคนิคช่างแบบดั้งเดิมที่มีเอกลักษณ์ มีการปรับดีดยกเรือนให้สูงขึ้นเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยยังคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยในปัจจุบันด้วยการสร้างอาคารต่อเติมเป็นห้องน้ำและครัวในลักษณะที่มีความกลมกลืนกับอาคารโบราณ พร้อมด้วยเก็บรักษาระเบียงพักผ่อนที่มีความทรงจำของครอบครัวไว้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเจ้าของบ้านในการอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมไทยที่มีเอกลักษณ์และคุณค่าเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ทำให้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ของสมาคมสถาปนิกสยามฯ ในปี พ.ศ.๒๕๕๔</div></div></div></div></div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-69925717669766286802011-03-06T05:55:00.000-08:002011-03-06T05:59:41.895-08:00แนะนำเมืองพระนครอาณาบริเวณที่ปกคลุมไปด้วยโบราณสถานของเขมรแผ่กระจายไปทั่วตั้งแต่อ่าวไทยไปจนถึงเวียงจันทน์ และจากไซ่ง่อนจนถึงลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา นับเป็นดินแดนที่ในปัจจุบันคือประเทศกัมพูชา พื้นที่ส่วนใหญ่ของอินโดจีน ตอนใต้ของประเทศลาว และทางตะวันออกของประเทศไทย ...ดินแดนที่มีซากโบราณสถานของเขมรประกอบไปด้วยส่วนหนึ่งคือที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง และบริเวณที่ลุ่มของทะเลสาบหลวง และอีกส่วนคือ ที่ราบสูงโคราช ดังที่จะเห็นต่อไปว่าความพยายามที่จะรวมสองส่วนที่แตกต่างกันในทุกแง่ทุกมุมนี้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น ได้ก่อให้เกิดหน่วยทางการเมืองที่ไม่เคยมีเสถียรภาพเลย ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของกัมพูชาล้วนเป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างประชาชนที่อยู่ในเขตที่สูงทางเหนือของเทือกเขาดงรัก กับพวกที่อยู่ในที่ราบต่ำทางตอนใต้<br /><br />จาก เซเดส์ ยอร์ช. เมืองพระนคร นครวัด นครธม. แปลโดย ปรานี วงษ์เทศ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ: มติชน, 2543Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-70118202505484017722011-03-06T05:41:00.000-08:002011-03-06T05:49:29.051-08:00ขอม หรือ เขมร<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQl0VNl-jQNXp6CriAX86_QwBTgZI-HC0uibFfG0-i-zOvp1yRDnDQ_-F-eETaG_iOSXCp3dt0TEkLiKo_o5CY4ZAFCS1OvGAIJhUBg9uj5MDFXnYbERSt2J3Qlc77-m7Y4Gtszw_mef4/s1600/Copy+of+%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2001.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 214px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5580962807897225378" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQl0VNl-jQNXp6CriAX86_QwBTgZI-HC0uibFfG0-i-zOvp1yRDnDQ_-F-eETaG_iOSXCp3dt0TEkLiKo_o5CY4ZAFCS1OvGAIJhUBg9uj5MDFXnYbERSt2J3Qlc77-m7Y4Gtszw_mef4/s320/Copy+of+%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A2001.jpg" /></a><br /><div>เรามักจะมีข้อถกเถียงกันเรื่อยมาถึงความถูกต้องของการใช้คำเรียกที่เป็นเรื่องของปราสาทหินและศิลปวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง ตามที่พบกันทั่วไปบ้างก็เรียกศิลปะขอม บางทีก็อารยธรรมเขมร จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีข้อยุติ เพราะต่างฝ่ายก็ต่างยอมกันไม่ได้ แต่ที่สุดก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน เพราะเป็นที่ตั้งของเมืองพระนคร (Angkor) ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งที่พบสิ่งก่อสร้างในวัฒนธรรมนี้อย่างหนาแน่นและมีความยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เนื่องจากวัฒนธรรมนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในเขตของประเทศกัมพูชาเท่านั้น ดังที่เราพบหลักฐานมากมายในประเทศไทย หรือแม้แต่ในทางตอนใต้ของประเทศลาวที่มีปราสาทวัดพู ที่ถือว่าเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมนี้ก่อนจะมีการสร้างเมืองพระนครด้วยซ้ำ การที่เราเรียกประชาชนในประเทศกัมพูชาว่าเป็นคนเขมรจึงเกิดคำถามว่าเขาเหล่านั้นเป็นผู้สืบเชื้อสายและเป็นเจ้าของวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่นี้จนควรเรียกว่าอารยธรรมเขมรหรือไม่ สิ่งที่พบอยู่นอกเขตแดนของกัมพูชาจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมเขมรด้วยหรือไม่ ปราสาทหินเป็นของใคร ของไทย ลาว หรือเขมรกันแน่ ในเมื่อสิ่งก่อสร้างเหล่านี้มีมาตั้งแต่ก่อนมีการแบ่งเป็นประเทศต่างๆอย่างในปัจจุบัน</div><br /><div><br />อดีตผู้บังคับบัญชาของผมท่านหนึ่งเคยยืนยันอย่างแข็งขันว่า ต้องเรียก อารยธรรมขอม เพราะเป็นเรื่องของคนในอดีตที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขมรในปัจจุบัน เหมือนกับแนวคิดของอีกหลายๆท่านที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก “คลั่งชาติ” ที่รับไม่ได้กับการระบุว่าเป็นวัฒนธรรมเขมรที่มีความหมายว่าเป็นของกัมพูชา วัฒนธรรมนี้ย่อมเป็นของผู้คนในสถานที่ที่สิ่งก่อสร้างนั้นตั้งอยู่ ไม่ใช่การรับวัฒนธรรมมาในฐานะเมืองขึ้นด้วยถือว่ามีหลักฐานมาตั้งแต่ในยุคก่อนเมืองพระนครแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในสมัยที่ปรากฏชื่อในเอกสารจีนว่าฟูนัน หรือ เจินละ นักวิชาการที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับท่านหนึ่งถึงกับกล่าวตำหนิการใช้คำว่าศิลปะเขมร ว่าเหมือนเป็นการไปยกให้เป็นของกัมพูชาไป ถ้าเช่นนั้นจะให้เรียกว่าอะไรดี</div><br /><div><br />จากการศึกษาจารึกโบราณได้พบว่าแต่เดิมชาวเขมรเรียกตนเองว่า กัมพุช ซึ่งคงเป็นต้นเค้าของคำว่ากัมพูชา ในขณะที่ตามเอกสารจีนจะเรียกว่าเจินละมาโดยตลอด ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ได้อธิบายเกี่ยวกับคำว่า เขมร ไว้ว่าในจารึกสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ.๑๗๒๔ – ๑๗๖๐) ชาวเขมรได้เรียกตัวเองว่า เขมร เป็นครั้งแรก แต่ก็อาจเป็นไปได้เช่นกันว่ามีการใช้เรียกมาก่อนการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรในสมัยของพระองค์<a style="mso-footnote-id: ftn1" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a> ส่วนคำว่า ขอม นั้นไม่เคยพบในประเทศกัมพูชาแต่อย่างใด จะมีก็แต่ในจารึก เอกสารทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งตำนานของไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาเท่านั้น โดยเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ใช้ภาษาเขมร รวมทั้งในบางที่ยังกล่าวถึงกรุงกัมพูชาธิบดีประกอบด้วย จึงตีความได้จากคำว่า ขอม ว่าหมายถึงเขมร นั่นเอง</div><br /><div><br />ในทางภาษาศาสตร์เป็นไปได้ว่าคำว่า ขอม นั้นอาจจะกลายมาจากคำว่า กรอม ซึ่งอาจจะกร่อนมาจากคำว่า ขแมร์กรอม อีกที มีความหมายว่า เขมรต่ำ ในขณะที่พบว่ามีการเรียกดินแดนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างที่อยู่เหนือเทือกเขาพนมดงรักขึ้นมาว่า เขมรสูง การแบ่งเป็นเขมรต่ำและเขมรสูงนี้ก็สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่พบว่ามีกลุ่มชนที่พูดภาษาเขมรทั้งในพื้นที่ของประเทศกัมพูชาที่เป็นที่ราบต่ำและในที่ราบสูงโคราช ลุ่มแม่น้ำมูลที่มีต้นน้ำจากดงพญาเย็นและพนมดงรัก ไหลไปบรรจบแม่น้ำโขง ที่เชื่อมต่อไปถึงปราสาทวัดพูในลาว ส่วนที่อยู่ที่ต่ำเรียก เขมรต่ำ ส่วนที่อยู่ในเขตบุรีรัมย์ สุรินทร์ หรือ ศรีสะเกษ ในปัจจุบันจึงได้แก่เขมรสูง ถ้าเป็นเช่นนั้นคำว่า ขอม จึงหมายถึงเฉพาะ เขมรต่ำ หรือ กัมพูชาในปัจจุบันเท่านั้น</div><br /><div><br />ในขณะที่ยังมีคนไทยอีกไม่น้อยที่คิดว่า เมื่อปราสาทหินคือมรดกที่เป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมเขมร จึงไม่แปลกที่จะมีความผูกพันกับทางกัมพูชามากกว่าไทย ทำให้ไม่รักและหวงแหนเท่าที่ควร ด้วยไม่ตระหนักว่าชาวเขมร “นอกกัมพุชเทศะ” หรือดินแดนนอกประเทศกัมพูชา ดังที่จารึกของแคว้นศรีจนาศะได้เรียกดินแดนเหนือเทือเขาพนมดงรักไว้ ได้สืบเชื้อสายมาถึงชาวไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ในปัจจุบัน ยังมีจารึกที่กล่าวถึงแคว้นมหิธรปุระ ณ ที่ราบสูงโคราช ว่าเป็นต้นกำเนิดของราชวงศ์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ ผู้สร้างปราสาทพิมาย พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ผู้สร้างปราสาทนครวัด มาจนถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ผู้สร้างปราสาทบายนและนครธม เส้นทางเชื่อมโยงระหว่างเมืองพระนคร ผ่านช่องเขาพนมดงรักที่ปราสาทตาเมือนธม ผ่านปราสาทพนมรุ้งและเมืองต่ำ มาจนถึงเมืองพิมาย จึงไม่ใช่เครื่องหมายของการตกอยู่ในอำนาจของกัมพูชาในฐานะเมืองขึ้นแต่เป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในลักษณะเครือญาติก่อนยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งแท้จริงแล้วก็ได้รับการถ่ายทอดวัฒนธรรมต่อเนื่องไปไม่น้อย </div><br /><div></div><br /><div>ไม่ว่าจะเป็น ขอม หรือ เขมร จะนอกประเทศหรือในประเทศ อย่างไรก็มีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมของเรา ทั้งกับคนไทยที่สืบทอดวัฒนธรรมเขมรมาโดยตรง และคนไทยร่วมชาติผู้เป็นเจ้าของประเทศที่มาจากหลากหลายวัฒนธรรมที่หล่อหลอมรวมกันอย่างกลมกลืนในวันนี้ และยังขยายไปสู่ความสำคัญที่เป็นความภาคภูมิใจร่วมกันในภูมิภาค หากว่าเราจะได้ยกปัญหาเรื่องเส้นเขตแดน การแย่งชิงพื้นที่ซึ่งกันและกันออกไป</div><br /><div><br /><a style="mso-footnote-id: ftn1" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์, หม่อมราชวงศ์. ปราสาทหินและทับหลัง. กรุงเทพฯ: บ.สตาร์ปริ้นท์ จำกัด, ๒๕๔๒.</div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-85837746296044130672010-07-09T07:29:00.000-07:002010-07-09T07:37:57.355-07:00พระราโชวาท สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />วันพฤหัสบดี ที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓<br /><br />พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ข้าพเจ้ามาปฏิบัติพระราชพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในวันนี้. ขอแสดงความชื่นชมกับบัณฑิตทุกคน ที่ได้รับเกียรติและความสำเร็จ.<br /> <br />ปัจจุบัน สถานการณ์ต่างๆ ทั้งของบ้านเมืองเราและของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากและซับซ้อน ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้. บัณฑิตในฐานะที่เป็นผู้มีความรู้ความคิด ต้องไม่ยอมให้ปัญหาเหล่านั้นมาเป็นอุปสรรคขัดขวางความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและกิจการงานของตน. ในการนี้ ทุกคนจำเป็นต้องขวนขวายศึกษาหาความรู้ และสร้างสมประสบการณ์ให้ลึกซึ้งกว้างขวาง รวมทั้งติดตามข้อมูลข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อให้มีความรู้ในวิทยาการ และรู้เท่าทันสถานการณ์ต่างๆ. ข้อสำคัญจะต้องพิจารณาเรื่องราวปัญหาต่างๆ ด้วยจิตใจที่เที่ยงตรงเป็นกลาง จนเกิดปัญญารู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามเป็นจริง. ถ้าทำได้ดังนี้ แต่ละคนก็สามารถใช้ความรู้ ความคิด ความสามารถที่มีอยู่ดำเนินชีวิตและประกอบกิจการงานให้ก้าวพ้นอุปสรรคปัญหาไปได้โดยสวัสดี และบรรลุถึงความสุขความเจริญได้ดังที่มุ่งหวัง.<br /> <br />ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขออวยพรให้บัณฑิตทุกคนและทุท่านที่มาร่วมงานในพิธีนี้ มีความสุข ความสำเร็จ และความเจริญก้าวหน้าทั่วกัน.Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-26933624501651949732010-07-08T07:42:00.000-07:002010-07-08T07:54:12.958-07:00การอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมในประเทศไทยการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นมาจากการอนุรักษ์ในแบบประเพณีนิยม จากหลักฐานบันทึกต่างๆที่เกี่ยวข้อง มักจะเป็นเรื่องราวของการซ่อมแซมปรับปรุงวัดในพระพุทธศาสนา แม้จะไม่มีรายละเอียดที่แสดงถึงวิธีการที่ใช้ในการซ่อมแซมแต่ก็สามารถทำให้เข้าใจถึงแนวคิดในการอนุรักษ์ในอดีตได้อย่างชัดเจน บันทึกที่เก่าที่สุดมีมาตั้งแต่กรุงสุโขทัย<a style="mso-footnote-id: ftn1" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a> จากจารึกวัดศรีชุมได้กล่าวว่า พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามณี ได้ดำเนินรอยตามองค์พระพุทธเจ้าจาริกแสวงบุญไปตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในสุโขทัย อาณาจักรใกล้เคียง และศรีลังกา ซึ่งในระหว่างการจาริกแสวงบุญนั้น สิ่งที่เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ได้แก่ การรวบรวมชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินเข้าด้วยกันและซ่อมแซมเสียใหม่ด้วยปูน เป็นแบบอย่างให้ชาวพุทธถือปฏิบัติสืบต่อมาเพื่อผลบุญจนในปัจจุบัน เป็นแนวทางการอนุรักษ์แบบประเพณีนิยมที่มีพื้นฐานมาจากความศรัทธา การอนุรักษ์ศาสนวัตถุ ศาสนสถาน ถือว่าเป็นสืบทอดศาสนาด้วยทางหนึ่ง<br /> <br />แนวความคิดสมัยใหม่ในการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานในประเทศไทยสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับความเป็นชาติ แสดงถึงความเป็นอารยประเทศของบ้านเมืองเริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แตกต่างไปจากเดิมที่การบูรณะหรือการบำรุงรักษาจะกระทำกันในลักษณะที่ต้องการทำให้สมบูรณ์ขึ้นหรือดีกว่าเดิมตามคตินิยมที่ทำกันมาแต่โบราณ โดยที่ยังไม่ได้มีการคำนึงถึงคุณค่าของรูปแบบดั้งเดิม ความเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่มีการกำหนดเป็นหลักเกณฑ์แต่อย่างใด<a style="mso-footnote-id: ftn2" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a> ในความเป็นจริงแนวคิดดังกล่าวอาจจะเริ่มมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระองค์ยังอยู่ในสมณเพศ ที่ได้เสด็จหัวเมืองภาคเหนือใน พ.ศ.๒๓๗๖ ทรงแวะแหล่งโบราณคดีสำคัญๆหลายแห่งตลอดเส้นทาง และทรงรวบรวมของโบราณไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ ยังโปรดให้สร้างพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาของโบราณเหล่านี้ เพื่อประโยชน์ต่อการศึกษาและเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมของชาติไทย<br /> <br />ใน พ.ศ.๒๓๙๗ ทรงออกหมายประกาศเขตรังวัด ผู้ร้ายขุดวัด กำหนดให้ราษฎรที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ห่างจากศาสนสถานในระยะสี่เส้นโดยรอบ มีหน้าที่สอดส่องดูแลมิให้ผู้ร้ายทำการลักลอบขุดหาทรัพย์สิน และได้กำหนดโทษปรับแก่ราษฎรผู้เพิกเฉย โดยประกาศนี้ได้รวมศาสนสถานที่เป็นวัดร้างไว้ด้วย จึงเห็นได้ว่าทรงสนพระทัยในเรื่องมรดกของชาติทั้งในฐานะที่เป็นเครื่องสืบทอดพระศาสนา และเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์<br /> <br />ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการประกาศพระบรมโองการจัดตั้งโบราณคดีสโมสรขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ และมีการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์โบราณสถานที่พระราชวังโบราณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แม้ว่าจะมีการออกโฉนดที่ดินเพื่อเป็นหลักฐานการถือครองกรรมสิทธิ์ แต่ก็ยังสงวนที่ดินภายในกำแพงเมืองพระนครศรีอยุธยาไว้เป็นสาธารณะสมบัติและที่วัดร้าง ห้ามเอกชนถือครอง โดยโปรดเกล้าฯ ให้พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลกรุงเก่าสงวนรักษาพระนครศรีอยุธยาไว้เป็นเมืองโบราณในฐานะมรดกสำคัญของชาติ ห้ามมิให้ผู้ใดถือสิทธิ์ปกครองที่ดินภายในบริเวณกำแพงเมืองโดยเด็ดขาด และจัดให้มีการขุดแต่งบริเวณพระราชวังโบราณขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อเป็นสถานที่บำเพ็ญพระราชกุศลในพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก<br /> <br />ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมศิลปากรขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๔ มีภาระหน้าที่ในการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถาน และโปรดเกล้าฯ ให้มีการประกาศจัดการตรวจรักษาของโบราณ ลงวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๖๖ พร้อมกับการแต่งตั้งกรรมการหอพระสมุดสำหรับพระนคร มีหน้าที่ให้คำปรึกษากับเทศาภิบาลและเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองท้องถิ่น ในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับมรดกทางวัฒนธรรม โดยกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบในการพิเคราะห์เลือกสรร กำหนดว่าสิ่งใดเป็นของโบราณควรจะเก็บรักษาไว้บ้าง ตรวจตราให้คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ที่มีความรับผิดชอบ นับเป็นก้าวแรกในการจัดตั้งองค์กร และกำหนดแนวทางในการดำเนินการอย่างเป็นระบบขึ้นในประเทศไทย<br /> <br />แม้แนวคิดการอนุรักษ์สมัยใหม่อย่างตะวันตกจะได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่การดูแลศาสนสมบัติในพระพุทธศาสนาก็ยังคงเป็นในแนวทางดั้งเดิมแบบประเพณีนิยมดังปรากฏตัวอย่างในการประชุมของมหาเถรสมาคมเมื่อครั้งกรมพระยาวชิรญาณวโรรสดำรงตำแหน่งสังฆปรินายก ที่มีการวินิจฉัยในเรื่องการรื้อพระเจดีย์และพระปฏิมาโดยอ้างถึงพระบาลีวินัยมหาวรรค โดยทรงสรุปว่า “ท่านให้ถือเอาเจตนาเป็นเกณฑ์” ที่ประชุมได้ให้คำวินิจฉัยว่า ถึงแม้ในยุคนี้เป็นเวลาที่ความนิยมในทางโบราณคดีเกิดขึ้นมาแล้วแต่มหาเถรสมาคมเห็นชอบดังนี้<br />๑. บุคคลใด เจาะ ขุด รื้อพระเจดีย์ หรือพระปฏิมาด้วยเจตนาประทุษร้าย ตัวอย่างเช่น เจาะหรือขุดเพื่อจะเอาทรัพย์สิ่งของ โดยที่สุดเป็นพระธาตุหรือพระพิมพ์อันบรรจุไว้ในนั้น รื้อเสียหรือจะเอาที่ปลูกสร้างเหย้าเรือน ทำเรือกสวนเป็นส่วนบุคคล หรือถือศาสนาต่างคิดทำลายล้างปูชนียวัตถุของผู้อื่นเสีย ด้วยริษยาขึ้งเคียด การทำของบุคคลนั้นเป็นบาป<br />๒. บุคคลใดมีเจตนาอุปการะรื้อพระเจดีย์ หรือพระปฏิมาอันชำรุดเสียแล้ว ก่อทำขึ้นแทนใหม่ หรือของไม่งามไม่จูงใจให้เลื่อมใส รื้อเสียแล้วทำขึ้นแทนใหม่ให้เป็นของงามเป็นที่จูงใจให้เลื่อมใส การทำของบุคคลนั้นเป็นบุญหาโทษมิได้<br />๓. บุคคลใดมีเจตนาอุปการะ เห็นพระเจดีย์หรือพระปฏิมาสร้างไว้ในที่ไม่เหมาะ ตัวอย่างเช่นอยู่ในที่ร้างไม่ได้รับความรักษา หรืออยู่ในหมู่คนใจบาปจะถูกประทุษร้าย ที่เป็นอาจชะลอมาได้ก็ชะลอมา ที่เป็นอาจจะชะลอไม่ได้อาจรื้อเป็นท่อนมาคุมใหม่ได้ เป็นของไม่อาจทำเช่นนั้น รื้อเอาสัมภาระเป็นต้นว่าอิฐมาก่อขึ้นใหม่ ประดิษฐานไว้ในที่อันสมควร การทำของบุคคลนั้นเป็นบุญทำโทษมิได้<br /> <br />ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯให้มีการจัดตั้งราชบัณฑิตยสภาขึ้น โดยมีภาระหน้าที่ประการหนึ่งในการอนุรักษ์โบราณสถาน โดยมีสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นนายกราชบัณฑิตยสภา ในปาฐกถาเรื่องสงวนของโบราณ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในฐานะนายกราชบัณฑิตยสภา ทรงแสดงแก่เทศาภิบาล เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๓ ได้กล่าวถึงสิ่งก่อสร้างที่เป็นโบราณสถานไว้ว่า “...ของโบราณนั้นราชบัณฑิตยสภากำหนดเป็น ๒ ประเภท คือ ของที่ไม่พึงเคลื่อนที่ได้ เป็นต้นว่า เมือง และปราสาทราชวัง วัด ทั้งเทวาลัย ตลอดจนบ่อกรุ และสะพานหิน ของโบราณเหล่านี้ กำหนดเป็นประเภทหนึ่งเรียกว่า โบราณสถาน”<br /> <br />สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงกล่าวถึงการปฏิสังขรณ์พระอารามอย่างที่กระทำกัน ซึ่งอาจจะเป็นการทำลายโบราณสถานดั้งเดิมให้เสียหาย ในปาฐกถาทรงให้เทศาภิบาลคอยสอดส่องดูแลให้เรื่องการปฏิสังขรณ์อยู่ในเกณฑ์ ๓ ข้อดังนี้<br /> ข้อ ๑ ถ้ามีผู้ศรัทธาจะปฏิสังขรณ์โบราณสถานที่สำคัญขอให้ชี้แจงกับเขาให้ทำตามแบบเดิม อย่าให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบ และลวดลายไปเป็นอย่างอื่นเอาตามใจชอบ<br /> ข้อ ๒ อย่าให้รื้อทำลายโบราณสถานที่สำคัญเพื่อสร้างของใหม่ขึ้นแทน<br /> ข้อ ๓ วัดโบราณที่ทำการปฏิสังขรณ์นั้นมักมีผู้ศรัทธาสร้างสิ่งต่างๆ เพิ่มเติมของโบราณ ของที่สร้างเพิ่มเติมเช่นว่านี้ ไม่ควรจะสร้างขึ้นในอุปจารใกล้ชิดกับของโบราณที่ดีงามด้วย อาจทำให้ของโบราณเสียสง่าและไม่เป็นประโยชน์กับผู้สร้าง เพราะฉะนั้นควรจะให้กะที่ไว้เสียส่วนหนึ่งในบริเวณวัดนั้นสำหรับสร้างของใหม่ นอกจากนี้ยังทรงต้องการให้เทศาภิบาลสำนึกว่าโบราณวัตถุสถานของชาติเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องสงวนรักษาไว้และเป็นหน้าที่ของชาวไทยทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งเป็นข้าราชการ “การสงวนรักษาโบราณวัตถุสถานเป็นส่วนหนึ่งในราชการแผ่นดินเหมือนกับราชการอย่างอื่นๆ”<br /> <br />ระยะเวลาเกือบ ๑๐๐ ปี นับตั้งแต่การสถาปนากรมศิลปากร ภารกิจการอนุรักษ์โบราณสถานนับเป็นภารกิจหลักที่สำคัญประการหนึ่งของกรมศิลปากร ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนามาเป็นลำดับ<br /><br />ในการอนุรักษ์โบราณสถานมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ที่มีการปรับเปลี่ยนและแก้ไขมาหลายครั้ง โดยฉบับแรกคือ พระราชบัญญัติว่าด้วย โบราณสถาน ศิลปวัตถุ และการพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๔๗๗ และฉบับปัจจุบันคือพระราชบัญญัติโบราณสถาน ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕<br />พระราชบัญญัติว่าด้วยโบราณสถาน ศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ และการพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล มีใจความที่เกี่ยวข้องกับความหมายและการจัดการของโบราณสถานดังนี้<br />มาตรา ๔ “โบราณสถาน” หมายความว่า อสังหาริมทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือซากปรักหักพังแห่งอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอายุหรือลักษณะแห่งการก่อสร้างหรือความจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เป็นประโยชน์ในทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี หรือศิลปกรรม<br />มาตรา ๖ ให้อธิบดีจัดทำบัญชีบรรดาโบราณสถานทั้งหลายที่มีอยู่ในประเทศสยามไว้ ไม่ว่าจะเป็นโบราณสถานที่มีเจ้าของเป็นของเอกชนคนใด หรือไม่มีเจ้าของ หรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน รวมทั้งโบสถ์ วัดวาอาราม และสิ่งก่อสร้างอย่างอื่นอันเกี่ยวแก่การศาสนา<br /> <br />สำหรับพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้ให้คำนิยามของโบราณสถาน ไว้ว่าโบราณสถาน หมายถึง“อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งโดยอายุหรือโดยลักษณะแห่งการก่อสร้างหรือโดยหลักฐานเกี่ยวกับประวัติของอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นประโยชน์ในทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี ทั้งนี้ ให้รวมถึงสถานที่ที่เป็นแหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ และอุทยานประวัติศาสตร์ด้วย” การที่จะบอกว่าอะไรเป็นโบราณสถานตามกฎหมายหรือไม่นั้น ประการแรกถ้าไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ ก็คงตัดออกไปก่อนได้เลย ต่อมาคือโดยอายุ หมายความว่ามีความเก่าแก่ แต่ตามกฎหมายก็มิได้กำหนดว่าที่อายุเท่าไรจึงเรียกว่าเป็นโบราณสถาน และถ้าดีแต่เก่าคือสร้างมานานแล้วแต่กลับไม่เป็นประโยชน์ใดใดก็ไม่สมควรที่จะถือเป็นโบราณสถานที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์<br /> <br />ส่วนแนวทางในการปฏิบัติงานด้านอนุรักษ์โบราณสถาน กรมศิลปากรได้ออกระเบียบกรมศิลปากรว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถาน พ.ศ.๒๕๒๘ เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์โบราณสถานให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง ทั้งทางด้านศิลปะ ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี รวมทั้งให้มีความสัมพันธ์กับสภาพเศรษฐกิจ สังคม ประเพณี และวัฒนธรรม ซึ่งใช้เป็นคู่มือในการปฏิบัติงานมาจนถึงปัจจุบัน<br /> <br />ความหมายของคำว่า “การอนุรักษ์” จึงได้ยึดถือตามคำจำกัดความของระเบียบกรมศิลปากรว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ดังนี้<br /> การอนุรักษ์ หมายความว่า การดูแล รักษา เพื่อให้ทรงคุณค่าไว้ และให้หมายรวมถึงการป้องกัน การรักษา การสงวน การปฏิสังขรณ์ และการบูรณะด้วย<br />สำหรับการอนุรักษ์ในวิธีการต่างๆ ได้ระบุความหมายไว้ดังนี้<br />ก. การสงวนรักษา หมายถึง การดูแลรักษาไว้ตามสภาพของเดิม เท่าที่เป็นอยู่ และป้องกันมิให้เสียหายต่อไป<br />ข. การปฏิสังขรณ์ หมายถึง การทำให้กลับคืนสู่สภาพอย่างที่เคยเป็นมา<br />ค. การบูรณะ หมายถึง การซ่อมแซมและปรับปรุงให้มีรูปทรงลักษณะกลมกลืนเหมือนของเดิมมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ต้องแสดงความแตกต่างของสิ่งที่มีอยู่เดิม และสิ่งที่ทำขึ้นใหม่<br /> <br />จากคำจำกัดความข้างต้น จะตั้งข้อสังเกตได้ว่า เราสามารถใช้คำ “การอนุรักษ์” ได้ในความหมายที่กว้างที่สุดที่จะกินใจความถึงวิธีการใดๆ ก็ตามที่จะยังประโยชน์ต่อการสืบต่ออายุของโบราณสถาน โดยในปัจจุบันได้มีแนวคิดว่า การอนุรักษ์โบราณสถานจะต้องมีการพัฒนาควบคู่กันไปด้วย การอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานจึงได้แก่ การดำเนินการใดๆ ก็ตาม เพื่อให้คงไว้ซึ่งคุณค่าของโบราณสถานในฐานะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นประจักษ์พยานแห่งอารยธรรมของมนุษยชาติ รักษาส่วนที่ได้รับสืบทอดมามิให้สูญหายไป ดูแลให้อยู่ในสภาพที่ดีอันที่จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา ให้ประชาชนมีความเข้าใจ ตระหนักในคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดความรักความหวงแหนที่จะรักษาไว้และพร้อมที่จะส่งมอบต่อให้คนในรุ่นต่อไปด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุดที่จะเป็นไปได้ และยังสามารถนำโบราณสถานมาใช้เพื่อประโยชน์การใช้สอยในปัจจุบันด้วยความเหมาะสม<br /><br />และจากการที่โบราณสถานเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองมาตั้งแต่ครั้งอดีต เป็นความภาคภูมิใจของคนในปัจจุบัน ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินพระราชวังโบราณ บริเวณพระตำหนักเย็น บึงพระราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๖ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ความว่า “....การสร้างอาคารสมัยนี้ คงจะเป็นเกียรติสำหรับผู้สร้างคนเดียว แต่เรื่องโบราณสถานนั้นเป็นเกียรติของชาติ อิฐเก่าๆ แผ่นเดียวก็มีค่า ควรจะช่วยกันรักษาไว้ ถ้าเราขาดสุโขทัย อยุธยา และกรุงเทพฯ แล้ว ประเทศไทยก็ไม่มีความหมาย...” แนวทางตามพระราชดำรัสดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า โบราณสถานเป็นสิ่งที่มีคุณค่าจึงควรอนุรักษ์ไว้เพื่อแสดงถึงประวัติความเป็นมาของชาติบ้านเมืองต่อไป<br /><br /><a style="mso-footnote-id: ftn1" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> จาก ปิ่นรัชฎ์ กาญจนัษฐิติ, การอนุรักษ์มรดกสถาปัตยกรรมและชุมชน, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๒๕๕๒. หน้า ๑๘<br /><a style="mso-footnote-id: ftn2" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref2" name="_ftn2">[2]</a> จาก มะลิ โคกสันเทียะ, ข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาในการอนุรักษ์โบราณสถานของกองโบราณคดี, เอกสารประกอบการสัมมนา การอนุรักษ์โบราณสถานในฐานะเป็นหลักฐานทางวิชาการ ๖-๗ สิงหาคม ๒๕๓๐ มหาวิทยาลัยศิลปากรVasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-30679094592828679872010-07-08T07:36:00.000-07:002010-07-08T07:41:28.251-07:00การอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมในแบบสากลแนวคิดด้านการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมในแบบตะวันตก ณ จุดเริ่มต้นก็เป็นแนวคิดในแบบประเพณี ยุโรปในอดีตก็ได้มีการดัดแปลงอาคารทางศาสนาและการก่อสร้างต่อเติมขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา เช่นโบสถ์ในแบบนอร์มันดั้งเดิมก็อาจมีการรื้อออกหรือดัดแปลงให้เป็นแบบโกธิคด้วยการสร้างซ้อนทับโครงสร้างเดิมไว้ ตามความนิยมของยุคสมัย เห็นได้ว่าแนวคิดของช่างโบราณอยู่ที่การพัฒนาทางด้านรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่สูงกว่า เบากว่า นำแสงสว่างอันเจิดจ้าเข้ามาได้มากกว่า โดยไม่มีการชื่นชมในสถาปัตยกรรมแบบโบราณที่เป็นอยู่<br /><br />ในเวลาต่อมาจากกระแสความตื่นตัวจากการค้นพบแหล่งเมืองโบราณต่างๆในคริสตศตวรรษที่ ๑๘ ต่อเนื่องมาจากความสนใจของสังคมในเรื่องราวโบราณและการศึกษาเกี่ยวกับโบราณสถาน ศิลปะรูปแบบยุคสมัยต่างๆที่มีมาในอดีตตั้งแต่ในศตวรรษที่ ๑๗ นำไปสู่การเขียนตำราประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมขึ้นเป็นครั้งแรก ได้มีการซ่อมแซมอนุรักษ์ สิ่งก่อสร้างของโบราณสถานและแหล่งโบราณคดีทั้งหลายเพื่อที่จะนำมาใช้ใหม่และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในสมัยนั้นอันเป็นช่วงที่นักประวัติศาสตร์ศิลปะจัดว่าเป็นยุคโรแมนติค<br />แนวคิดของยุคโรแมนติคจะนิยมความเร้าใจที่เกิดจากการหวลระลึกถึงอดีตอันไกลโพ้น เป็นเหตุให้เกิดการนำเอารูปแบบสถาปัตยกรรมของ กรีก โรมัน หรือโกธิค กลับมาใช้ใหม่ และยังเกิดแนวคิดความเป็นชาติและความภาคภูมิใจในชนชาติขึ้นด้วย มีการนำเอารูปแบบโกธิคมาใช้เป็นเครื่องแสดงถึงความเป็นชนชาติเก่าแก่ มีรากฐานอันยาวนาน อาคารทางศาสนาที่สร้างขึ้นใหม่ใช้รูปแบบนีโอโกธิค ในขณะที่อาคารเก่าจำนวนมากถูกปรับเปลี่ยนตามความนิยมในการประกอบพิธีกรรมที่เหมาะสมและศักดิ์สิทธิ์ด้วยการซ่อมเปลี่ยนอาคารให้ไปสู่รูปแบบโกธิค จากจุดเริ่มต้นในประเทศอังกฤษได้พัฒนามาสู่ แนวทางแบบ stylistic restoration ในฝรั่งเศส โดย Prosper Merimee และ Eugene Emmanuel Viollet-le-Duc ที่สนับสนุนการบูรณะปฏิสังขรณ์โบราณสถานในฐานะที่เป็นงานสถาปัตยกรรมที่มีความหมายและประโยชน์ใช้สอย ให้อาคารมีความครบถ้วนสมบูรณ์ตามรูปแบบที่จินตนาการขึ้นมาให้มีความกลมกลืนกับรูปแบบโกธิค แก้ไขส่วนต่อเติมในอดีตให้กลายเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ “ถูกต้อง” โดยได้อธิบายถึงการบูรณะไว้ว่า<br />“การบูรณะ (restoration) นั้นเป็นสิ่งใหม่ การบูรณะอาคารไม่ใช่การอนุรักษ์ ซ่อมแซม หรือสร้างขึ้นใหม่ แต่คือการนำเอาอาคารกลับไปสู่สภาพที่สมบูรณ์ที่สุดซึ่งอาจจะไม่เคยเป็นมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ของอาคารนั้น...”<a style="mso-footnote-id: ftn1" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a><br /><br />จากแนวคิดที่ไม่ยอมรับความชำรุดทรุดโทรมที่นำมาซึ่งการต่อเติมโบราณสถานให้มีความสมบูรณ์ด้วยการออกแบบใหม่ ได้เกิดแนวคิดของกลุ่มที่คัดค้านการบูรณะ (anti-restoration) ที่ไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดใดกับโบราณสถานในฐานะที่เป็นหลักฐานสำคัญทางโบราณคดี ตามหลักการอนุรักษ์ของ John Ruskin และ William Morris ในประเทศอังกฤษ โดยรัสกินได้กล่าวถึงการบูรณะไว้ว่า “...เราอย่ามากล่าวถึงการบูรณะเลย มันเป็นสิ่งที่หลอกลวงตั้งแต่ต้นจนจบ...”<a style="mso-footnote-id: ftn2" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn2" name="_ftnref2">[2]</a> ในขณะที่มอริสได้เขียนถึงแนวคิดในแถลงการของสมาคมเพื่อการรักษาอาคารโบราณ (Society for the Protection of Ancient Buildings) ในปี ค.ศ.๑๘๗๗ ว่า “...ป้องกันความชำรุดทรุดโทรมของอาคารด้วยการดูแลรักษาอย่าสม่ำเสมอ ค้ำยันผนังที่ทรุดเอียง หรือซ่อมแซมหลังคาที่รั่ว จะต้องไม่แสดงออกถึงรูปลักษณะอื่นใดที่ไม่เกี่ยวข้อง ต้องพยายามที่จะไม่รบกวนเนื้อของอาคาร หรือองค์ประกอบตกแต่ง ถ้าไม่เหมาะสมกับการใช้สอยในปัจจุบัน การสร้างอาคารใหม่ขึ้นอีกหลังหนึ่งจะดีกว่า การเปลี่ยนแปลงอาคารเดิมหรือขยายอาคารเดิมให้ใหญ่ขึ้น จะต้องคำนึงว่าเป็นอาคารเป็นอนุสรณ์ของยุคโบราณที่ผ่านพ้นไปแล้ว เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์โดยช่างโบราณซึ่งศิลปวิทยาการสมัยใหม่ไม่สามารถที่จะไปแตะต้องโดยไม่ทำลายได้”<br /><br />จากนั้นได้มีการเคลื่อนไหวด้านแนวคิดการอนุรักษ์ในอิตาลีของ Camillo Boito ที่ถือได้ว่าเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างการบูรณะให้สมบูรณ์เต็นรูปแบบ และการปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของกาลเวลา โดยบอยโต้มีความเห็นว่า การต่อเติมเปลี่ยนแปลงรูปแบบโบราณสถาน ในยุคต่างๆ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในประวัติของอาคารทั้งสิ้น จึงควรเก็บรักษาไว้เว้นแต่จะมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่การบูรณะที่มีการต่อเติมขึ้นใหม่ก็สามารถทำได้แต่จะต้องมีความแตกต่างแยกแยะได้จากของดั้งเดิมและมีการบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไว้เป็นหลักฐานในทุกขั้นตอน แนวคิดนี้ได้กลายเป็นข้อบัญญัติในการบูรณะโบราณสถานของอิตาลี ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๐๒<br /><br />ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ ได้มีการก่อตั้งองค์กรระหว่างประเทศเพื่อสันติภาพขึ้นโดยภายในองค์กรนี้มีส่วนที่ทำหน้าที่โดยตรงในการดูแลมรดกวัฒนธรรมได้แก่ The International Museum Office ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.๑๙๒๖ มีการส่งเสริมให้มีการสัมมนาในระดับนานาชาติขึ้นโดยครั้งหนึ่งที่สำคัญเป็นการประชุมเพื่อการทำงานอนุรักษ์ที่อโครโพลิสแห่งเอเธนส์ ณ เมืองเอเธนส์ ประเทศกรีซ ในปี ค.ศ. ๑๙๓๑ และบทสรุปจากการประชุมดังกล่าวต่อมารู้จักกันในนามของกฎบัตรเอเธนส์ ถือเป็นจุดสำคัญในการกำหนดแนวทางในการอนุรักษ์สมัยใหม่ขึ้น มีแนวคิดอนุรักษ์ด้วยการเก็บรูปแบบดั้งเดิมทุกยุคสมัยของโบราณสถานที่ปรากฏอยู่ไว้ การปฏิสังขรณ์แบบเต็มรูปแบบเป็นสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติอีกต่อไป<br /><br />ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงพร้อมด้วยความเสียหายที่มากกว่าสงครามโลกครั้งแรก ในปี ค.ศ. ๑๙๔๔ รัฐบาลโปแลนด์ได้ตัดสินใจสร้างเมืองวอร์ซอที่ได้รับความเสียหายขึ้นมาใหม่ในรูปแบบดั้งเดิม เป็นแบบอย่างให้มีการดำเนินการในลักษณะเดียวกันนี้กับอีกหลายเมือง นานาชาติได้ร่วมมือกันเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก นำมาซึ่งการก่อตั้งองค์กรสหประชาชาติ โดยมี UNESCO เป็นหน่วยงานย่อยที่ดูแลการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม ความร่วมมือทางด้านการอนุรักษ์โบราณสถานในระดับนานาชาติได้เริ่มต้นขึ้นและนำมาสู่แนวคิดการอนุรักษ์มรดกร่วมกันของคนทั้งโลก และการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน จากการประชุมนานาชาติสำหรับสถาปนิกและช่างเทคนิคที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการอนุรักษ์โบราณสถานที่เมืองเวนิช ประเทศอิตาลี ได้เกิดเป็นกฎบัตรระหว่างประเทศว่าด้วยการอนุรักษ์และการบูรณะโบราณสถาน หรือที่เรียกว่ากฎบัตรเวนิช<br /><br />ยังมีทฤษฎีด้านการอนุรักษ์ของออสเตรียจาก Der Moderne Denmalkultus. (The Modern Cult of Monument) โดย Alois Riegl ที่มีการให้คำจำกัดความของคุณค่าและแนวความคิดที่เชื่อมโยงกับการอนุรักษ์สมัยใหม่ไว้ ทฤษฎีด้านการบูรณะโบราณสถานของอิตาลี Teoria del Restauro โดย Cesare Brandi แนวทางที่ใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในขณะที่มีการร่างกฎบัตรเวนิช<a style="mso-footnote-id: ftn3" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn3" name="_ftnref3">[3]</a> เป็นทฤษฎีที่กล่าวถึงการแทนที่ส่วนที่ขาดหายไปของโบราณสถานในการบูรณะ<br /><br />กฎบัตรเพื่อการอนุรักษ์ทั้งในระดับชาติและระดับระหว่างประเทศ ระเบียบ คำประกาศ ข้อบัญญัติ หรือ ข้อตกลงต่างๆที่เป็นที่ยอมรับของสังคมใดสังคมหนึ่งในช่วงเวลาต่างๆ สามารถสะท้อนภาพของสังคม แนวความคิด ด้านการอนุรักษ์ในสมัยต่างๆได้ ยกตัวอย่างเบื้องต้นได้จากการวิเคราะห์รายชื่อกฎบัตรระหว่างประเทศ และกฎบัตรแห่งชาติซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับระหว่างประเทศด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม<a style="mso-footnote-id: ftn4" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn4" name="_ftnref4">[4]</a> เรียงลำดับตามช่วงเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่มีการประชุมด้านการอนุรักษ์โบราณสถานในระดับระหว่างประเทศเป็นครั้งแรก ที่มีการประกาศเป็นกฎบัตรเอเธนส์ดังต่อไปนี้ ก็พอที่จะทำให้เห็นได้ถึงแนวความคิดและพฤติกรรมสังคม ที่เกี่ยวข้องในเรื่องการอนุรักษ์โบราณสถานระดับสากลที่มีพัฒนาการตามช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป<br />- The Athens Charter for the Restoration of Historic Monuments (1931)<br />- The Venice Charter – International Charter for the Conservation and Restoration of Monuments and Sites (1964)<br />- Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage (1972)<br />- The Burra Charter (1979, revised 1999)<br />- Historic Gardens – The Florence Charter (1981)<br />- Charter for the Conservation of Historic Towns and Urban Areas – The Washington Charter (1987)<br />- Charter for the Protection and Management of the Archaeological Heritage (1990)<br />- The Nara Document on Authenticity (1994)<br />- Charter on the Protection and Management of Under Water Cultural Heritage (1996)<br />- International Cultural Tourism Charter (1999)<br />- Charter on the Built Vernacular Heritage (1999)<br />- Principles for the Preservation of Historic Timber Structures (1999)<br />- Principles for the Preservation and Conservation/Restoration of Wall Paintings (2003)<br />- Convention for the Safeguarding of Intangible Cultural Heritage (2003)<br />- Declaration of the Kimberley Workshop on the Intangible Heritage of Monuments and Sites (2004)<br />- Xi’an Declaration on the Conservation of the Setting of Heritage Structures, Sites and Areas (2005)<br />- The ICOMOS Charter for the Interpretation and Presentation of Cultural Heritage Sites (2008)<br /><br />จากจุดเริ่มต้นที่กฎบัตรเอเธนส์ จะเห็นว่าแนวคิดด้านการอนุรักษ์โบราณสถานเริ่มขึ้นจากการบูรณะและมองโบราณสถานเฉพาะลักษณะทางกายภาพและเน้นที่อาคารสิ่งก่อสร้างก่อน ถัดมาที่กฎบัตรเวนิช จึงได้ขยายขอบเขตออกมาให้กว้างขึ้น ด้วยการเพิ่มคำ conservation เข้ามา รวมทั้งการกำหนดให้โบราณสถานมีทั้งที่เป็น monument และ site ไม่ใช่เฉพาะแต่ที่เป็นสิ่งก่อสร้างแต่เพียงอย่างเดียว ในช่วงต่อมาจึงได้เกิดแนวคิดการปกป้องคุ้มครองมรดกที่มีคุณค่าความสำคัญที่คนทั้งโลกจะต้องร่วมกันรักษา ซึ่งมีทั้งที่เป็นแหล่งทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรม สำหรับเบอรา ชาเตอร์ แม้ชื่อจะไม่สื่อถึงแนวคิดด้านการอนุรักษ์แต่ใจความของกฎบัตรของออสเตรเลียซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลนี้ก็เป็นตัวชี้วัดแนวคิดของสังคมได้เช่นเดียวกัน เช่น การให้ความหมายของคำว่า conservation ให้ครอบคลุมทุกกิจกรรมที่เป็นการอนุรักษ์ทั้งหมด<a style="mso-footnote-id: ftn5" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftn5" name="_ftnref5">[5]</a> และให้ความสำคัญกับการประเมินคุณค่าทางวัฒนธรรม ที่จะนำมาสู่การกำหนดแนวทางในการอนุรักษ์โบราณสถานได้ต่อไป ต่อมาในการประชุมที่เมืองฟลอเรนซ์ได้ทำให้เกิดกฎบัตรการอนุรักษ์ที่เป็นการขยายขอบเขตออกมาจาก กฎบัตรเวนิชเป็นครั้งแรก ด้วยการยกประเด็นของโบราณสถานประเภทสวนประวัติศาสตร์ ที่ต้องการแนวทางการอนุรักษ์ที่ต่างไปจากที่ได้กำหนดไว้ในกฎบัตรเวนิช เนื่องจากสวนประวัติศาสตร์ถือเป็นโบราณสถานที่มีชีวิต ด้วยมีองค์ประกอบที่เป็นพืชพันธุ์ธรรมชาติ ในขณะที่มุมมองด้านการอนุรักษ์ที่มีอยู่เดิมได้มุ่งเน้นอยู่ที่ซากโบราณสถาน ต่อจากสวนประวัติศาสตร์ในลำดับต่อมาก็ได้มีการหาแนวทางเพิ่มเติมให้กับโบราณสถานประเภทย่าน ชุมชนเมืองประวัติศาสตร์ แหล่งโบราณคดี และแหล่งโบราณคดีใต้น้ำตามลำดับ และยังได้เห็นความสำคัญของการบริหารจัดการที่ควรจะพิจารณาไปพร้อมๆกับการอนุรักษ์ด้วย<br />ข้อสรุปจากการประชุมระดับระหว่างประเทศที่เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น ยังได้เป็นการย้ำถึงการให้คุณค่ากับความแท้ในการอนุรักษ์โบราณสถาน และต่อมาสังคมยังได้มองเห็นปัญหาที่เกิดจากการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น มีการเพิ่มเติมหลักการอนุรักษ์ในรายละเอียดเฉพาะบางประเภทของโบราณสถาน ได้แก่ อาคารที่สร้างด้วยไม้ที่มีความคงทนน้อยกว่าวัสดุประเภทอื่น และภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในขณะเดียวกันแนวโน้มของสังคมยังได้มุ่งให้ความสำคัญกับคุณค่าทางนามธรรมที่ถือเป็นส่วนที่สร้างความหมายให้กับโบราณสถานด้วยทั้งจากการประกาศของยูเนสโกและอิโคโมส ในปีถัดมายังได้เห็นถึงแนวคิดการขยายขอบเขตของการอนุรักษ์ให้ออกมาครอบคลุมถึงสภาพโดยรอบของโบราณสถานด้วยเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับสภาพโดยรอบของเมืองโบราณต่างๆอย่างมาก จึงเป็นเวลาที่จะต้องหาทางควบคุมแก้ไขปัญหาร่วมกัน จากเรื่อง setting ยังได้มีความต่อเนื่องมาถึงในปัจจุบันนี้ที่เรากำลังพูดกันถึงเรื่องของภูมิทัศน์วัฒนธรรม (cultural landscape)<br /><br />และสำหรับกฎบัตรสากลล่าสุดที่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.๒๐๐๘ เรื่อง interpretation and presentation ก็แสดงให้เห็นได้ถึงกระแสแนวคิดในปัจจุบันของการอนุรักษ์ ว่ากำลังมีแนวโน้มมาในเรื่องของการสื่อความหมายและการนำเสนอโบราณสถาน แสดงถึงความสำคัญของความเข้าใจในสิ่งที่เราอนุรักษ์เพื่อให้สังคมตระหนักถึงคุณค่า ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ และจะได้ร่วมกันดูแลรักษาให้คงอยู่ต่อไปในอนาคต<br /><br /><a style="mso-footnote-id: ftn1" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref1" name="_ftn1">[1]</a> Eugene-Emmanuel Viollet-le-Duc, “Restoration”, อ้างถึงใน Stanley Prince, 1996<br /><a style="mso-footnote-id: ftn2" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref2" name="_ftn2">[2]</a> จาก Seven Lamps of Architecture ของ John Ruskin, 1890<br /><a style="mso-footnote-id: ftn3" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref3" name="_ftn3">[3]</a> Jukka Jokilehto. A History of Architecture Conservation (Elsevier,2005), หน้า 237.<br /><a style="mso-footnote-id: ftn4" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref4" name="_ftn4">[4]</a> จาก ICOMOS. International Charters for Conservation and Restoration – Monuments and Sites I. (Munich: Lipp GmbH, 2004).<br /><a style="mso-footnote-id: ftn5" title="" href="http://www.blogger.com/post-create.g?blogID=5751518419437537373#_ftnref5" name="_ftn5">[5]</a> …all the processes of looking after a place so as to retain its cultural significance. (article 1)…may include… maintenance, preservation, restoration, reconstruction, adaptation and interpretation / a combination of more than one of these. (article 14)Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-24798531904723274702010-07-08T07:00:00.000-07:002010-07-08T07:27:06.195-07:0070 ปึไปรษณีย์กลาง บางรัก<div align="center"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 205px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5491537083500494322" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHYKOaXdla5vJN7AesI-BP9DcsKpOpTUaNMegAzoiN9kyCRtSEuRrq9kCo6H1gPCcRXhW_NyEr1yMfcMhYdu22Z6_TC8awVdLv8swPwE_qUIedRpoenI1qtCtHbEQDVtdVPfjPUxUHxsU/s320/Copy+of+IMG_9815.JPG" />ครุฑและแตรงอน สัญลักษณ์ไปรษณีย์ไทย ที่บางรัก<br /><br /><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 242px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5491538436298214354" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhwe6RkUj2HdWCBfyrYlfqenrquioFNaLt9TteDIgExY-mZbVhPJSqkorjohFTP2KvNvkFvUzvKkcPsKv6XXT7zhr2Yzh0WoSxkhZyoA3WVWP8_Dv981uSDhXgVcjQbsItU1QL6PIza1HQ/s320/Copy+of+IMG_9796.JPG" /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiz0GlhyphenhyphenMxQ0htgkrDMp_KAbYRFcbmGOmF2JeuQUQtJKfasiWL6WalQYa98yxUP4QuBY-MrQKfYVuQrXbabDdv2g0Y6i9gNNljNGWV7A1cs8hQdidQjpDSF-e256wQW54XDJyU-6FJJU2M/s1600/Copy+of+IMG_9784.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5491538442365420930" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiz0GlhyphenhyphenMxQ0htgkrDMp_KAbYRFcbmGOmF2JeuQUQtJKfasiWL6WalQYa98yxUP4QuBY-MrQKfYVuQrXbabDdv2g0Y6i9gNNljNGWV7A1cs8hQdidQjpDSF-e256wQW54XDJyU-6FJJU2M/s320/Copy+of+IMG_9784.JPG" /></a> ความงามแบบโมเดิร์น<br /><br /><br /><br /><div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgEuG9WHNqNn_YLSpNNYix-lwmex12QEZAepfQ4FnURuNoQEhkTTXbQ_Ky6Oq6vw0r8mRw1UmwbesvwVwAK4mzTD_cedh92Lz76tyw1zcA2RXBvV3fkJ1u3ZTd0Ud2Nr1rIsj2qs7obxk/s1600/Copy+of+IMG_9812.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 250px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5491538417680696258" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgEuG9WHNqNn_YLSpNNYix-lwmex12QEZAepfQ4FnURuNoQEhkTTXbQ_Ky6Oq6vw0r8mRw1UmwbesvwVwAK4mzTD_cedh92Lz76tyw1zcA2RXBvV3fkJ1u3ZTd0Ud2Nr1rIsj2qs7obxk/s320/Copy+of+IMG_9812.JPG" /></a> แอบเก๋บนดาดฟ้า<br /><br /><br /><div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhi78DDopi13nrTvVNQO0LdAqA4WBJsZ0MJjvVSGVDXpaZoTbrZL41TEYnvcSEu8HmU-iofu31p-l3WajW5fUc135U98G2_V8C_2jxhvkL1RFrEMIo4mdcnLzACmYlA4LXlW3_kU1L2gyE/s1600/Copy+of+IMG_9824.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 215px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5491538409747934834" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhi78DDopi13nrTvVNQO0LdAqA4WBJsZ0MJjvVSGVDXpaZoTbrZL41TEYnvcSEu8HmU-iofu31p-l3WajW5fUc135U98G2_V8C_2jxhvkL1RFrEMIo4mdcnLzACmYlA4LXlW3_kU1L2gyE/s320/Copy+of+IMG_9824.JPG" /></a> ไปรษณีย์วันนี้</div><br /><br /><div align="left">อาคารไปรษณีย์กลางบางรักมีการฉลองครบรอบ 70 ปีในปีนี้ กล่าวคือสร้างในปี พ.ศ. 2483 งานสถาปัตยกรรมออกแบบโดยพระสาโรชรัตนนิมมานก์ ร่วมกับนายหมิว อภัยวงศ์ และงานศิลปกรรมโดยศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี จัดเป็นมรดกสถาปัตยกรรมในรูปแบบโมเดิร์น เช่นเดียวกับศาลาเฉลิมกรุง อาคารศาลยุติธรรม ศาลากลางพระนครศรีอยุธยา(เดิม) อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และกลุ่มอาคารถนนราชดำเนินกลาง และมีงานตกแต่งในอิทธิพลแบบอาร์ตเดโก ที่มีความเป็นไทยผสมผสานอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีงานประติมากรรมรูปครุฑซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของไปรษณีย์ไทย ซึ่งเป็นงานออกแบบของศาสตราจารยศิลป์ พีระศรี ประดับอยู่ด้านหน้าอาคาร จึงถือว่ามีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและศิลปะของไทยที่สัมพันธ์ถึงประวัติศาสตร์ของโลกเกี่ยวกับสภาวะทางเศรษฐกิจและสังคม ในแง่การใช้สอยของอาคารในอดีตยังเป็นหลักฐานสำคัญของความเป็นมาของการไปรษณีย์และการสื่อสารในประเทศไทย ตลอดจนพัฒนาการของการเจริญเติบโตของเมืองจากการที่ในสมัยนั้นจะแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าด้วยการใช้รถไฟและไปรษณีย์เป็นสัญลักษณ์ มีการสร้างอาคารขนาดใหญ่ขึ้นเป็นเครื่องหมายของเมืองที่มีการพัฒนา การก่อสร้างอาคารไปรษณีย์กลางจึงถือเป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญหน้าหนึ่งของกรุงเทพมหานครด้วย<br /></div><div align="left">สภาพอาคารซึ่งมีขนาดใหญ่แต่ในปัจจุบันมีการใช้งานเฉพาะในส่วนชั้นล่าง เป็นที่ทำการไปรษณีย์บางรักเท่านั้น อาคารด้านหลังส่วนหนึ่งถูกรื้อออกไปแล้วสืบเนื่องจากการตัดแบ่งพื้นที่ให้การสื่อสารแห่งประเทศไทย(กสท.) แม้ว่าโครงสร้างอาคารจะมีความมั่นคงแข็งแรงแต่การปิดพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เคยเป็นพื้นที่ห้องทำงานที่กว้างขวาง บันไดกลางที่โอ่โถงนำขึ้นไปสู่โรงละครด้านบนไว้โดยไม่มีการใช้สอย ปล่อยเป็นพื้นที่ร้าง ก็จะทำให้อาคารเสื่อมสภาพลงได้อย่างรวดเร็วด้วยขาดการดูแลรักษา วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารเป็นส่วนสำคัญที่มีเอกลักษณ์ ได้แก่ กระเบื้องปูพื้น ไม้ปาเก้ต์ และกระจกฝ้า รวมทั้งลักษณะโครงสร้างเสาช่วงกว้าง การมีช่องแสงที่เจิดจ้าโถงด้านล่างมีความกว้างใหญ่สง่างาม </div><div align="left"><br />ในประเด็นเรื่องความเป็นโบราณสถาน แม้ว่าจะยังไม่ได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน แต่ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวมาข้างต้นก็ตรงตามนิยามของโบราณสถานใน พรบ.โบราณสถานฯ ดังนั้นในการบูรณะ ปรับปรุง ดัดแปลง ก็ขอให้ส่งข้อมูลความต้องการในการปรับปรุงนั้นให้กรมศิลปากรช่วยตรวจสอบพิจารณาก่อน ว่าจะมีผลกระทบให้โบราณสถานเสื่อมคุณค่าลงในด้านต่าง ๆ หรือไม่ หากคุณค่าทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ประวัติศาสตร์และโบราณคดี ยังคงอยู่หลังจากการปรับปรุงนั้นก็เป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ ส่วนเรื่องของการใช้สอยในอนาคตของอาคารก็อาจเปลี่ยนแปลงไปได้เพื่อให้สอดคล้องตามสภาพสังคมในปัจจุบัน</div></div></div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-81063091971396112392010-07-08T06:42:00.000-07:002010-07-08T06:46:38.774-07:00ความคืบหน้ากรณีมรดกโลกปราสาทพระวิหารในที่ประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อการคุ้มครอง รักษา และพัฒนาเมืองพระนคร (ICC – Angkor) ครั้งที่ ๑๙ เมื่อวันที่ ๘-๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ นาย เบชาอูช (Beschaouch) ผู้แทนของยูเนสโก ได้แจ้งว่าจะมีการจัดตั้ง คณะกรรมการ ICC – Preah Vihear ขึ้นในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยวิสามัญ ที่สำนักงานยูเนสโก กรุงปารีส ในวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๓ ซึ่งจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ของสถานทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ทราบว่าไม่มีการเชิญผู้แทนของไทยเข้าร่วมประชุมเรื่องการก่อตั้ง ICC – Preah Vihear ในขณะที่เชิญจากชาติอื่นๆที่ต้องการให้เข้าร่วมครบทั้งหมด ทั้งนี้ในส่วนของประเทศไทยโดยมติคณะกรรมการมรดกโลกของไทยเห็นว่าไทยไม่ควรเข้าร่วมใน ICC ชุดนี้<br /><br />จากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยวิสามัญและการประชุมอื่นๆ ที่กรุงปารีส ทราบว่า นาง Bokova ผอ.ใหญ่ของยูเนสโก ได้ตัดสินใจเลื่อนการประชุมจัดตั้ง ICC- พระวิหาร ออกไปก่อนตามที่ฝ่ายไทยได้แจ้งให้ทราบถึงมติคณะกรรมการมรดกโลกของไทย แต่ก็สร้างความไม่พอใจให้กับทั้งยูเนสโกและทางกัมพูชา เนื่องจากตามมติคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ ๓๒ ที่ควิเบคที่ประกาศให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในบัญชีมรดกโลกเรียบร้อยแล้ว ได้กำหนดให้มีการจัดตั้ง ICC โดยให้ไทยเข้าร่วมด้วย ถือเป็นมติที่มีการรับรองอย่างถูกต้อง แต่ทางยูเนสโกก็ยินดีที่จะให้รอต่อไปก่อนระยะหนึ่ง โดยขอให้มีการประชุม ๓ ฝ่าย ยูเนสโก ไทย กัมพูชา โดยนาง Bokova รับที่จะเป็นผู้จัดให้ ทั้งนี้ท่านเอกอัครราชทูตวีรพันธุ์ได้ชี้แจงว่า การที่ฝ่ายไทยไม่สามารถเข้าร่วมหรืออธิบายเหตุผลข้อขัดข้องต่างๆได้ เนื่องจากตามมติกรรมการมรดกโลกกำหนดให้กัมพูชาส่งแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารในการประชุมสมัยที่ ๓๔ ณ กรุงบราซิเลีย ซึ่งแผนดังกล่าวจะต้องมีการระบุขอบเขตพื้นที่การจัดการโดยรอบปราสาทพระวิหารที่มีความเป็นไปได้ที่จะล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของไทย ทั้งที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในกรรมการมรดกโลก ๒๑ ชาติ แต่ก็ยังไม่ได้เห็นเอกสารดังกล่าวเพื่อให้พิจารณาก่อนเข้าที่ประชุม ทั้งที่ต้องส่งตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้ว จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยในประเด็นเรื่องความโปร่งใส โดยที่ได้กำหนดไว้แล้วในวาระการประชุมที่บราซิเลียว่าจะมีการกล่าวถึงเรื่องนี้ในวาระสถานภาพการอนุรักษ์ของมรดกโลก แต่ยังไม่มีรายละเอียดเนื้อหาที่จะนำเข้าสู่วาระให้ตรวจสอบก่อน<br /><br />อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังมีประเด็นที่สำคัญในเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศ ที่จะต้องมีความชัดเจนก่อนVasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-178808853109920682010-07-08T06:31:00.000-07:002010-07-08T06:38:40.093-07:0019th Technical Session of the ICC Angkor<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjL0QhUKc4iRyaxIgTmeEoj0Nad7-mTA1MJzTkywUKiAzgPJeEokhJg869zxh244h-lQu2zheYhCHx0wLnitIXCAzpnyVE6B4xDgGnZwt9YubzGS_GcIptNMV9T1mSwXm7_6qeTebCYXl0/s1600/0608_006.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5491528344420551538" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjL0QhUKc4iRyaxIgTmeEoj0Nad7-mTA1MJzTkywUKiAzgPJeEokhJg869zxh244h-lQu2zheYhCHx0wLnitIXCAzpnyVE6B4xDgGnZwt9YubzGS_GcIptNMV9T1mSwXm7_6qeTebCYXl0/s320/0608_006.jpg" /></a> รายงานการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองพระนคร ครั้งที่ ๑๙<br /><br /><br /><div>การประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญของคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศเพื่อการปกป้องคุ้มครองและพัฒนาสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของเมืองพระนคร (International Coordinating Committee for Safeguarding and Development of the Historic Site of Angkor : ICC Angkor) จัดขึ้นเป็นครั้งที่ ๑๙ ระหว่างวันที่ ๘ – ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓ ณ โรงแรม Sokha Angkor เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา<br />ตัวแทนประเทศไทยที่เข้าร่วมประชุมได้แก่<br />๑. นายวสุ โปษยะนันทน์ สถาปนิกระดับชำนาญการพิเศษ กรมศิลปากร<br />๒. นางสาวธิติยา ปานมณี เจ้าหน้าที่จากสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ<br /><br />วันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓ เริ่มการประชุม เวลา ๘.๓๐ น. โดยมีวาระการประชุมและสาระโดยย่อดังนี้<br /><br />วาระที่ ๑ พิธีเปิดการประชุม ประกอบด้วยการกล่าวเปิดโดย นาย Dominique FRESLON และ นาย Hiroshi KAWAMURA สองประธานร่วมผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ตามลำดับ และการกล่าวของ นาย SOK An รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในฐานะประธานสูงสุดขององค์กร APSARA National Authority แจ้งเรื่องข้อเสนอการเป็นเจ้าภาพของเสียมราฐในการจัดประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ ๓๐ ในโอกาสครบรอบ ๒๐ ปีที่เมืองพระนครได้อยู่ในบัญชีมรดกโลกในปี ๒๐๑๒ รวมทั้งการที่ นาย BESCHAOUCH ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ “สหเมตไตร”และคำกล่าวจากนาย Teruo JINNAI ผู้แทน UNESCO ในราชอาณาจักรกัมพูชา<br /><br />วาระที่ ๒ เรื่องการวิจัยและการอนุรักษ์<br /> ๒.๑ นาย Azedine BESCHAOUCH, ICC Permanent Scientific Secretary กล่าวรายงานกิจกรรมของ ICC-Angkor และการนำเอาคำแนะนำต่างๆที่ผ่านมาไปสู่การปฏิบัติ กล่าวถึง ICC-Preah Vihear องค์กรพี่น้องกับ ICC-Angkor ว่าจะมีการจัดตั้งขึ้นในวันที่ ๑๖ มิถุนายนนี้ ที่ UNESCO ณ กรุงปารีส<br /><br />๒.๒ นาย BUN Narith ผู้อำนวยการใหญ่ APSARA Authority กล่าวรายงานกิจกรรมต่างๆของ APSARA เช่น การบูรณะเร่งด่วนสำหรับปราสาทที่พังลงมา การตั้งศูนย์ฝึกอบรมด้านการอนุรักษ์ด้วยความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยในประเทศอิตาลี การศึกษาเพื่อการวางแผนการพัฒนาระบบน้ำและการฟื้นฟูบาราย การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว การพัฒนาเมืองเสียมราฐ การมีส่วนร่วมของภาคประชาคม การพัฒนาความเป็นอยู่ของเกษตรกรในพื้นที่ การเกษตรอินทรีย์<br /><br />๒.๓ การอนุรักษ์<br />๒.๓.๑ การนำเสนอผลการทำงานที่ปราสาทบายนของ JASA (Japan – APSARA Team for Safeguarding Angkor) ประกอบด้วย<br /> ก. ภาพรวมของการปกป้องคุ้มครองปราสาทบายน โดย ศ.ดร. NAKAGAWA Takeshi<br /> ข.รายงานความก้าวหน้าของงานบูรณะที่บรรณาลัยด้านทิศใต้ของปราสาทบายน โดย นาย SOEUR Sothy กล่าวถึงขั้นตอนการเตรียมนำหินกลับคืนสู่ที่ตั้งดั้งเดิมหลังงานทดลองประกอบหินเสร็จสมบูรณ์ ในการเตรียมฐานรากได้มีการทดสอบการรับน้ำหนักของดินบดอัดแน่นแบบดั้งเดิมพบว่าไม่เพียงพอ ต้องมีการปรับปรุงการรับแรงก่อน ในการเสริมด้วยหินใหม่ มีความจำเป็นต้องใช้หินทรายใหม่ ๑๒ % ในขณะที่ต้องใช้ศิลาแลงใหม่เกือบ ๙๐ %<br /> ค.งานสำรวจขุดค้นทางโบราณคดีทางด้านทิศใต้ของปราสาทบายน โดย ดร. KOU Vet รายงานการค้นพบระบบการระบายน้ำโบราณ<br /> ง. งานสำรวจทางธรณีสัณฐานภายในระเบียงของปราสาทบายน และความก้าวหน้าของงานวิจัยถึงความเป็นไปได้ในการจัดการพื้นที่น้ำโดยรอบแหล่งมรดกเมืองพระนคร โดย ดร. TOKUNAGA Tomochika<br /> จ. คำแนะนำทางเทคนิคเพื่อการถมดินกลับในแหล่งโบราณสถานเมืองพระนคร โดย ดร. IWASAKI Yoshinori เป็นผลการทำงานที่สืบเนื่องมาจากการขุดตรวจสอบใต้ปราสาทประธาน ปราสาทบายน<br /> ฉ. การศึกษาวิธีการอนุรักษ์ภาพสลักนูนต่ำที่ระเบียงคดด้านในของปราสาทบายน โดย ดร. SAWADA Masahiko และ ดร. SHIMODA Ichita<br /><br /> ๒.๓.๒ การนำเสนอของ สำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ (EFEO) โดย นาย Pascal ROYERE สถาปนิก<br /> ก. การบูรณะปราสาทบาปวน กำหนดตารางการทำงานในช่วงสุดท้ายของการดำเนินการในระยะเวลา ๙ เดือน<br /> ข. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการบูรณะปราสาทแม่บุญตะวันตก ปราสาทซึ่งมีสภาพเป็นเกาะตั้งอยู่กลางบารายตะวันตก นำเสนอโครงการการทำงานในระยะเวลา ๔ ปี<br /><br />การอภิปรายโดยคณะที่ปรึกษา<br />ศ. BOUCHENAKI : ชื่นชมการทำงานที่นำมาซึ่งข้อมูลทางวิชาการจากการศึกษาเบื้องต้นทางโบราณคดีก่อนการดำเนินการ เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งก่อนที่จะได้มีการกำหนดแนวทางในการอนุรักษ์ เช่น ในกรณีปราสาทแม่บุญตะวันตก ซึ่งมีความน่าสนใจมาก เป็นโบราณสถานที่มีเอกลักษณ์ ต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาเบื้องต้นนี้ก่อน นอกจากนี้ยังควรมีการแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลในระหว่างแต่ละคณะทำงานที่เข้ามาร่วมกันอนุรักษ์โบราณสถานเมืองพระนครด้วย<br />นาย BESCHAOUCH : ชื่นชมการที่ในทีม JASA ของ ญี่ปุ่นเปิดโอกาสให้ชาวกัมพูชาได้เรียนรู้การทำงานจนพัฒนาขึ้นมาได้อยู่ในระดับสูง ถือเป็นพัฒนาการที่ดีมากสำหรับกัมพูชา เป็นความสำคัญของการฝึกอบรม ถ่ายทอดความรู้<br /><br /> ๒.๓.๓ การนำเสนอของ WWF (World Monument Fund) โดย คุณ Konstanze VON ZUR MUEHLEN ผู้จัดการโครงการ<br /> ก. รายงานความก้าวหน้าของการทำงานที่ปราสาทพนมบาแค็ง ระเบียงคดด้านทิศตะวันออกของปราสาทนครวัด และปราสาทพระขรรค์<br /> ข. การประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง การอนุรักษ์และการสร้างความมั่นคง ศาสนสถานอิฐ<br /><br /> ๒.๓.๔ การนำเสนอของ ASI (Archaeological Survey of India)<br /> ก. คำกล่าวนำโดย ดร. D.R. GEHLOT อธิบดีร่วมของ ASI<br /> ข. งานอนุรักษ์โครงสร้าง และลักษณะการอนุรักษ์ที่ ปราสาทตาพรม โดย นาย Janhwij SHARMA ผู้อำนวยการอนุรักษ์ รายงานการทำงานในลักษณะสหวิชาการ นำเสนอเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างและธรณีวิทยา<br /> ค. การอนุรักษ์ต้นไม้ที่ปราสาทตาพรม โดย ดร. N.S.K. HARSH ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยป่าไม้ เมือง Deradun ประเทศอินเดีย<br /><br /> ๒.๓.๕ การอนุรักษ์ของปราสาทนครวัด งานบูรณะที่โคปุระตะวันตก ซุ้มบันไดใหญ่ทางทิศตะวันตก พลับพลารูปกากบาท และสระน้ำล้อมรอบด้านตะวันตก โดย นาย Valter Maria SANTORO เป็นการดำเนินงานโดย I.Ge.S. ( Ingegneria Geotecnica e Structeral snc) จากอิตาลี มีการสำรวจสภาพปัญหา ติดตามตรวจสอบรอยแยกต่างๆ พบว่ามีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิและระดับน้ำในดิน และจากข้อมูลการวิเคราะห์แรงดันจากน้ำในส่วนโครงสร้างพบว่าจุดที่มีความเสี่ยงต่อการพังทลายได้แก่ส่วนมุมและขั้นบันได<br /> <br /> ๒.๓.๖ การอนุรักษ์หินทรายในเมืองพระนคร จาก ธันวาคม ๒๐๐๙ ถึง มิถุนายน ๒๐๑๐ โดย นาย LONG Nary นักอนุรักษ์หินในสังกัดของหน่วยงานอนุรักษ์หินของ APSARA ด้วยการสนับสนุนของ German Development Authority) รายงานผลการทำงานอนุรักษ์หินด้วยการใช้ epoxy การเก็บข้อมูล กล่าวถึง ปริมาณงานที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก บุคลากรไม่เพียงพอ และการแก้ปัญหาด้วยการทำหนังสือคู่มือการปฏิบัติงาน<br /> <br /> ๒.๓.๗ การศึกษาผลกระทบของจุลินทรีย์ที่มีต่อผิวหินที่ปราสาทตาเนย ในปี ๒๐๐๙ โดย นาง Yoko FUTAGAMI จาก Tokyo National Research Institute for Cultural Properties เป็นผลการสำรวจทั้งที่ ปราสาทและแหล่งตัดหิน ที่ได้พบมอสและไลเคนสายพันธุ์ใหม่ๆ นำไปศึกษาผลกระทบต่อหินที่สถาบันในประเทศญี่ปุ่นพบว่าทำให้หินเสื่อมสภาพลง ๓๐ % ในขั้นต่อไปจะได้ทดลอง ณ ที่ตั้งของปราสาทและดูผลในระยะยาวต่อไป<br /><br /> ๒.๓.๘ การเสื่อมสภาพของหินเมืองพระนครในส่วนลวดลายประดับ ในมิติการควบคุมทางด้านธรณีวิทยาและสภาพแวดล้อม โดย ศ. Maria – Francoise ANDRE จาก มหาวิทยาลัย Blaise Pascal ประเทศฝรั่งเศส กล่าวถึงความแตกต่างกันระหว่างอัตราการเสื่อมสภาพที่เกิดกับปราสาทที่สภาพแวดล้อมยังมีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบอยู่กับปราสาทที่ไม่มีต้นไม้มานานแล้ว พบว่าต้นไม้ใหญ่ช่วยปกป้อง ทำให้การเสื่อมสภาพช้าลง จึงควรรักษาสภาพป่าไม้ไว้แม้ว่าโดยการออกแบบจะไม่ได้ต้องการให้ปลูกต้นไม้มาแต่ต้น<br /><br /> ๒.๔ งานวิจัย<br /> ๒.๔.๑ การรายงานการวิจัยในโครงการอนุรักษ์และบูรณะปราสาทตาแก้ว โดย ศ. HOU Weidong หัวหน้าวิศวกรของ CACH (Chinese Academy of Cultural Heritage) สาธารณรัฐประชนจีน กล่าวถึงการศึกษาเก็บข้อมูลเบื้องต้นในด้านต่างๆ<br /><br /> ๒.๔.๒ งานวิจัยเกี่ยวกับจิตรกรรมฝาผนังและการใช้สีในปราสาทอิฐสมัยศตวรรษที่ ๙ และ ๑๐ โดย ศ.ดร. Hans LEISEN จาก GACP (German Apsara Conservation Project) เป็นผลการศึกษาจากปราสาทอิฐจำนวน ๑๙ ปราสาท เช่น ปราสาทธมเกาะแกร์ ปราสาทพระโค ปราสาทเนียงเขมา จ.ตาแก้ว ด้วยการใช้กล้องอินฟราเรด พบการใช้สีแดง ดำ ขาว และเหลือง โดยเป็นภาพลวดลายประดับที่เทียบกันได้กับลายปูนปั้นหรือลายสลักหิน<br /><br /> ๒.๔.๓ รายงานกิจกรรมการวิจัยที่ปราสาททัพตะวันตก เมืองนครธม (๒๐๐๙ – ๒๐๑๐) โดย ดร. Tomo ISHIMURA จาก Nara National Research Institute for Cultural Properties ประเทศญี่ปุ่น มีการทดสอบกำลังวัสดุโบราณได้แก่ หินทรายและศิลาแลง พบว่าหินทรายมีคุณสมบัติในการรับแรงได้ดีในขณะที่ศิลาแลงซึ่งใช้เป็นโครงสร้างภายในมีปัญหา<br /><br /> ๒.๔.๔ โครงการ JAYA Koh Ker ๒๐๑๐ สู่ความเข้าใจใหม่ของเกาะแกร์ (ฐานข้อมูลเรื่อง จารึก สถาปัตยกรรม และประวัติศาสตร์ศิลปะ) โดย คุณ Agnes VAJDA ผู้อำนวยการ HUNINCOR ประเทศฮังการี เสนอผลการศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรม และจารึก การเปรียบเทียบองค์ประกอบที่พบหลงเหลืออยู่ กับภาพถ่ายเก่า นำข้อมูลมารวมกันจัดทำเป็นแบบวิเคราะห์ ที่ปราสาทกระจับ ปราสาทเจน ปราสาทบันทายพีจัน<br /><br /> ๒.๔.๕ รายงานความก้าวหน้าของการสำรวจจารึกในสมัยเมืองพระนคร โดย ศ. T.S. MAXWELL มหาวิทยาลัย Bonn เป็นการศึกษาจารึกเสากรอบประตูที่ปราสาทบันทายฉมาร์ และการตีความภาพสลักอิฐที่ปราสาทกระวันแสดงถึงความสัมพันธ์ของกษัตริย์ เทพ และพระพุทธเจ้า<br /><br /> ๒.๕ โบราณคดี<br /> ๒.๕.๑ การสำรวจทางโบราณคดีที่ปราสาทบันทายกุฎีในปี ๒๐๐๙ โดย นาย Nobuo ENDO และ คุณ Chie ABE จาก สถาบันวัฒนธรรมเอเซีย มหาวิทยาลัย Sophia<br /><br /> ๒.๕.๒ การศึกษาเรื่องอาศรมในสมัยพระเจ้ายโศวรมันที่ ๑ โดย นาย Dominique SOUTIF นักวิจัยจาก EFEO และ คุณ Julia ESTEVE นักวิจัยจาก EPHE ประเทศฝรั่งเศส เป็นงานที่เริ่มต้นจากการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับจารึกที่ศึกษาไว้โดย เซเดส์ ซึ่งพบหลักฐานทั่วราชอาณาจักร จะมีการขุดตรวจและขุดค้นในปีหน้า โดยเลือกพื้นที่ศึกษาที่ปราสาทไพรปราสาท และปราสาทกอมนับ จะได้มีการใช้จีโอเรดาร์ร่วมในการสำรวจด้วย<br /><br /> ๒.๕.๓ การขุดค้นแนวกำแพงดิน ภายใน Royal Citadel เมืองพระนคร โดย ศ. Jacques GAUCHER นักโบราณคดี EFEO เป็นส่วนที่ ๓ ของโครงการทางโบราณคดีของลักษณะของเมืองนครธม การขุดตรวจคันดินกำแพงเมือง พบการก่อสร้างซ้อนทับในยุคต่างๆ ส่วนที่เป็นกำแพงหินนี้คาดว่าเคยมีความสูง ๙ เมตร ฐานรากกำแพงเป็นเม็ดแลงบดอัดแน่นมีความแข็งแรงมาก ส่วนกำแพงก่อด้วยศิลาแลงและหินทรายที่นำจากที่อื่นมาใช้สังเกตจากรูปสลักที่ปรากฏอยู่<br /><br /> ๒.๕.๔ โครงการขุดค้นทางโบราณคดีในกลุ่มโบราณสถานปราสาทธม เกาะแกร์ ที่ Phno Damrei Sa (White Elephant Tomb) โดย นาย Eric BOURDONNEAU นักโบราณคดี EFEO มีสภาพเป็นเนินดินขนาดใหญ่อยู่ใกล้กับอาคารทรงปิระมิดของปราสาทธมทางด้านหลัง ผลจากการขุดพบว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่อยู่ร่วมสมัยกับการสร้างปราสาท สันนิษฐานว่าเป็นที่ทำพิธีชั่วคราวขณะช่วงเวลาของการก่อสร้างปราสาทพบโบราณวัตถุเป็นรูปเคารพสตรีพร้อมฐานรูปนกฮูก<br /><br /> ๒.๕.๕ โครงการการทำงานทางโบราณคดีที่พนมกุเลน การดำเนินการในช่วงระหว่างธันวาคม ๒๐๐๙ – เมษายน ๒๐๑๐ โดย นาย Jean – Baptiste CHEVANCE จาก มูลนิธิโบราณคดีและการพัฒนา สหราชอาณาจักร เป็นการดำเนินการใน ๕ แหล่งบนเขาพนมกุเลน ซึ่งได้พบรูปพระคเณศวรอยู่ในถ้ำ พร้อมด้วยการดำเนินการโครงการต่อเนื่องเพื่อการพัฒนาในท้องถิ่น สินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน สุขอนามัย การศึกษา การรักษาสิ่งแวดล้อม การเกษตรที่เหมาะสมเพื่อแทนที่การเผาป่าที่มีอยู่โดยรอบบริเวณโบราณสถาน<br /><br /> ๒.๕.๖ โครงการราชมรรคาสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (ระยะที่ ๓) การค้นพบแหล่งอุตสาหกรรมเหล็กเป็นครั้งแรก โดย นาย IM Sokrithy นักโบราณคดีผู้ประสานงานโครงการ APSARA National Authority เป็นการศึกษาโครงข่ายถนนโบราณ และแหล่งอุสาหกรรมโลหะและเครื่องถ้วยบนเส้นทาง ในโครงการระยะที่ ๓ นี้ ได้ศึกษาเส้นทางจากเมืองพระนครไปสู่ปราสาทพระขรรค์กำปงสวาย จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบสามารถเชื่อมโยงได้กับชาวเผ่ากุย หรือ ส่วย ที่ยังคงสืบต่อวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมมาจนถึงในปัจจุบัน โดยชาวกุยเด็ก ( Kuy Dek) ชำนาญงานเหล็ก และชาวกุยดำไร (Kuy Damrei) ชำนาญเรื่องการเลี้ยงช้าง เป็นข้อมูลที่อาจเปรียบเทียบกันได้กับในบริเวณเขมรสูง จ.บุรีรัมย์ในประเทศไทย<br /> <br />๒.๖ รายงานข้อแนะนำและความคิดเห็นจากคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์ <br />นาย BESCHAOUCH : น่าจะมีความร่วมมือในการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างไทยและกัมพูชา<br />นาย HIDAKA : ขอเน้นเรื่องการอนุรักษ์และการสื่อความหมาย การฝึกอบรม การมีส่วนร่วมของท้องถิ่น และการรักษาต้นไม้ไว้เพื่อสมดุลของธรรมชาติ<br />ศ. BOUCHENAKI : ห่วงใยปราสาทพนมกรม ที่มีการเสื่อมสภาพของเนื้อหินจากแรงลม เสถียรภาพของโครงสร้างอาคาร โดยหินในส่วนยื่นมีความเสี่ยงที่จะทลายลงมา จึงขอให้มีการอนุรักษ์เสริมความมั่นคงโดยด่วน การปรับปรุงพื้นที่โดยรอบปราสาทบันทายสรี เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน จากสภาพเดิมซึ่ง ที่จอดรถและร้านค้าตั้งอยู่ใกล้กับตัวปราสาทมาก ด้วยการจัดการในปัจจุบันสามารถทำให้นักท่องเที่ยวเข้าชมปราสาทตามลำดับที่ต้องการ เริ่มต้นที่ศูนย์ข้อมูล สร้างความเข้าใจก่อนการเข้าชม พร้อมด้วยการกำหนดรูปแบบสิ่งก่อสร้างในพื้นที่ทั้งหมดให้มีความเหมาะสม<br />นาย CROCI : สำหรับปราสาทตาแก้วของคณะทำงานจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ตรงมุมคือส่วนที่เป็นจุดอ่อนของฐานปราสาทที่เป็นกำแพงกันดิน และยังไม่เห็นด้วยกับการเติมหินใหม่จนครบสมบูรณ์แม้ว่าจะเป็นส่วนหลังคาที่ช่วยกันน้ำได้ ในขณะที่ขอชื่นชมการทำงานของคณะจากประเทศอินเดีย<br />ปิดการประชุม เวลา ๑๙.๒๕ น.<br /><br />วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๓ เริ่มการประชุม เวลา ๘.๐๐ น. โดยมีวาระการประชุมและสาระโดยย่อดังนี้<br />๒.๗ เสวนาโต๊ะกลมเรื่องบูรณภาพในการทำงานของคณะทำงานด้านเทคนิคต่างๆที่ปราสาทนครวัด<br />นาย BESCHAOUCH : กล่าวถึงที่มาของหัวข้อนี้ สืบเนื่องจากการที่มีองค์กร คณะทำงานมากมายหลายคณะมาช่วยในการอนุรักษ์ปราสาทนครวัดแห่งนี้ เริ่มจากการดำเนินการในระยะแรกโดย EFEO ต่อมาคือจากอินเดีย และในปัจจุบันมีจากมหาวิทยาลัยโซเฟีย และ JASA มหาวิทยาลัยวาเซดะ จากประเทศญี่ปุ่น มีคณะทำงานจากประเทศเยอรมัน และ I.Ge.S.จากประเทศอิตาลี จึงจำเป็นจะต้องนึกถึงความประสานสัมพันธ์กันของแต่ละส่วนของปราสาทด้วย<br />นาย CROCI : สำหรับปราสาทคีรีสิ่งที่น่าเป็นห่วงได้แก่เรื่องของโครงสร้าง ปัญหาจากน้ำที่เข้าไปในโครงสร้างที่เป็นดิน โครงสร้างarch แบบก่อยื่นที่ใช้ไม่แข็งแรงอย่างโครงสร้างของโรมัน จึงเป็นปัญหาทางเสถียรภาพ ปราสาทบริวารมักตั้งอยู่ตรงมุมซึ่งเป็นจุดอ่อน มักมีรอยแยกจากแรงดันของน้ำหนักที่กดทับ จึงขอให้มีการประสานร่วมกันในความรู้เรื่องสภาพของโบราณสถาน ธรรมชาติของโครงสร้าง และเรื่องน้ำที่มีผลต่อโครงสร้าง<br />นาย HIDAKA : แนะนำให้ในแต่ละทีมมีการหารือกันในรายละเอียดเมื่อมีข้อมูลที่ชัดเจน ให้มีการศึกษาเปรียบเทียบกับปราสาทประเภทปราสาทคีรีหลังอื่นๆ ในประเด็นที่เกี่ยวกับน้ำ จะต้องคำนึงถึงปัญหาจากความชื้นในอากาศ การดูดซึมน้ำจากดิน และการจัดการเรื่องการระบายน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีการวางระบบท่ออย่างที่ทีมอิตาลีใช้ และการใช้วัสดุกันซึมของ WWF ที่ยังมีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติข้างเคียงของวัสดุ<br />นาย LABLAUDE : เรื่องแรก ให้พิจารณาประเด็นเรื่องความแท้ ในการแทนที่หินเก่าที่เสื่อมสภาพว่าควรจะใช้หินใหม่ได้หรือไม่ ควรจะให้กลับคืนสู่สภาพเมื่อแรกสร้างหรือจะปล่อยไว้ตามกาลเวลา ควรซ่อมในระดับที่เพียงพอ ไม่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป<br />เรื่องที่สอง เห็นว่าการซ่อมแซมก็คือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของแหล่ง การใช้คอนกรีตเสริมเหล็ก หรือวัสดุใหม่ในการบูรณะควรซ่อนหรือแสดงให้เห็น ซึ่งเรื่องนี้ในแต่ละทีมยังมีวิธีการที่แตกต่างกัน โครงสร้างดั้งเดิมที่เป็นปัญหาจะต้องคงไว้ให้เป็นของแท้อย่างนั้นหรือไม่<br />เรื่องที่สาม ความงามเป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้สำหรับปราสาทนครวัด ความสมดุล สมมาตร รายละเอียดการตกแต่ง เป็นคุณค่าความสำคัญที่ต้องพิจารณาในการกำหนดแนวทางอนุรักษ์<br />ศ. BOUCHENAKI : นักอนุรักษ์คือผู้ส่งผ่านข้อมูลจากอดีตสู่อนาคต งานโบราณคดีไม่ได้เพียงแต่ศึกษาแค่เรื่องราวในประวัติศาสตร์ แต่รวมถึงสถาปัตยกรรม และการอนุรักษ์ซ่อมแซมด้วย การศึกษานำมาซึ่งข้อมูลเพื่อความเข้าใจในเรื่องต่างๆ จึงต้องไม่ทำงานอย่าโดดเดี่ยว แต่ต้องทำงานร่วมกับสาขาวิชาชีพอื่นๆ รวมทั้งการศึกษาภูมิปัญญาในอดีตในยุคที่ยังไม่มีการทดสอบ ตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์<br /><br />๓. การพัฒนาอย่างยั่งยืน<br />๓.๑ ความคิดเห็นจากคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน<br />นาย BESCHAOUCH : กล่าวนำเกี่ยวกับชุมชนที่อยู่กับโบราณสถาน จึงได้ยกกรณีของปราสาทพระวิหารที่มีชุมชนที่ต้องการการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วย<br />นาย FURT : กำหนดกรอบการทำงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสภาพสังคม ข้อเสนอโครงการต่างๆควรจะต้องส่งให้ศึกษาก่อนล่วงหน้าในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เมืองพระนครเป็นแหล่งที่ไม่ได้มีแต่ซากโบราณสถาน แต่ยังเป็นเมืองที่มีคนอยู่และเป็นบริเวณที่ต้องการการพัฒนา อาหาร และเครือข่ายการขนส่ง ต้องมีการศึกษาข้อมูลกิจกรรมท่องเที่ยว ความเชื่อมโยงกับกิจกรรมการเกษตร ตลาดผลผลิต <br /> ๓.๒ การนำเสนอของ APSARA National Authority<br /> ก. โครงการ Green Belt ระยะที่ ๒ โดย นาย UK Someth เป็นโครงการที่สนับสนุนโดยรัฐบาลเยอรมัน ด้วยการวางแผนกำหนดวงแหวนรอบเมืองพระนคร ๓ ชั้น เรียกว่า three rings of protection เพื่อการปกป้องและการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยมีการแก้ปัญหาความยากจนเป็นเป้าหมายหลัก ในการดำเนินการได้มีการวิเคราะห์การตลาด พัฒนาผลผลิต ทำข้อตกลงระหว่างผู้ผลิตและผู้จำหน่าย และฝึกอบรมผู้นำชุมชนสร้างเครือข่ายเกษตรกร (ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการดูแลแหล่งมรดกที่จะต้องไม่จำกัดเฉพาะการอนุรักษ์ลักษณะทางกายภาพของแหล่ง แต่จะต้องรวมไปถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนของชุมชน ทั้งชาวบ้านและวัด ที่อยู่ภายในพื้นที่แหล่งมรดกด้วย ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ดีกินดี) ผลที่ได้รับในครั้งนี้ได้ครอบคลุมในพื้นที่ ๒๐๐๐ ครัวเรือน เพิ่มผลผลิต ๒๐ – ๑๐๐ % เพิ่มรายได้ ๙๐ USD ต่อเดือนต่อครัวเรือน<br /><br /> ข. การดำเนินงานในโครงการในบริเวณ สระสรง โดย นาย KHOUN Khun-Neay กล่าวว่า มีการอนุรักษ์ตัวสระและขอบสระซึ่งเป็นโบราณสถานที่อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม เชื่อมโยงความสำคัญระหว่างสระสรงและปราสาทบันทายกุฎีซึ่งมีถนนขั้นกลางและเป็นทางสัญจรที่มีการจราจรพลุกพล่านในปัจจุบัน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ในรายละเอียดของการดำเนินงานมีการซ่อมแซมระบบประตูน้ำของสระ ทำทางเดินโดยรอบ มีการศึกษาขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ระหว่างสระกับปราสทบันทายกุฎี วางแผนเบี่ยงทางสัญจรเปิดเส้นทางใหม่ นอกจากการชมโบราณสถานยังได้มีนโยบายให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมชีวิตชุมชนหมู่บ้านด้วย จัดแสดงเรือนพื้นถิ่นเขมรและสวนเกษตร และยังมีโครงการ ที่ได้รับการช่วยเหลือจากนิวซีแลนด์ ในเรื่องการมีส่วนร่วมของชุมชนด้วยการให้การศึกษา<br /><br /> ค. การดำเนินงานที่ Run Ta Ek โดย นาย UK Someth เป็นโครงการที่เรียกว่า eco-village เริ่มจากการจัดการแหล่งน้ำของชุมชน ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญสำหรับการอยู่อาศัย ใช้พลังงานที่ใช้แล้วไม่หมดไป ลดมลภาวะ ร่วมกันแก้ปัญหาเรือนกระจกและโลกร้อน<br /><br /> ง. การนำน้ำกลับมาใส่ในคูเมืองนครธม โดย ดร. HANG Peou คูเมืองนครธมในปัจจุบันมีน้ำหลงเหลืออยู่เพียง ๑ ส่วนในพื้นที่ทั้งหมด ๔ ส่วน เพื่อที่จะฟื้นฟูให้กลับมามีน้ำอยู่เต็มดังเดิมต้องดูระบบโดยรวมของการที่จะทำให้น้ำคงอยู่ได้ วิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้น้ำแห้งไป เป็นเพราะระบบดั้งเดิมไม่ทำงานหรือไม่ จากการสำรวจพบว่าคูเมืองด้านทิศตะวันออกมีประตูน้ำอยู่ ๒ ประตูที่ขาดความต่อเนื่อง รวมทั้งการศึกษาผลกระทบจากการรื้อฟื้นว่าจะกระทบกับการทำนาในปัจจุบันหรือไม่<br /><br /> จ. การพัฒนาเมืองเสียมราฐ โดย คุณ TEP Vattho เป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในเมือง ปรับปรุงถนนใจกลางเมือง สร้างความเชื่อมต่อวัดต่างๆ พัฒนาเมืองวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เป็นที่ตั้งของสำนักงาน APSARA สร้างพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูป พิพิธภัณฑ์ผ้าพื้นเมือง มีการสร้างทางเชื่อมต่อกับพื้นที่ใจกลางเมือง ดำเนินการอนุรักษ์มรดกในยุคอาณานิคม สร้างสะพานเดินเท้าข้ามแม่น้ำเสียมราฐ ในย่านวัดตำหนัก<br /><br /> ๓.๓ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการขยายปริมาณน้ำใช้ของเสียมราฐ (ด้วยการสนับสนุนของ JICA ) โดย นาย SOM Kunthea อธิบดีการประปาของเสียมราฐ เป็นการวางแผนผลิตน้ำประปาเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยใช้น้ำจากทะเลสาบเขมร จากสภาพการผลิตในปัจจุบันที่ยังไม่เพียงพอ<br /> ๓.๔ ผลการวิจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทางน้ำของเมืองพระนคร ในประเด็นการค้นพบสารหนูและปลาแปลกปลอมต่างถิ่น โดย ศ. Shinji TSUKAWAKI จากการสำรวจตัวอย่างน้ำในทะเลสาบพบว่ามีสารหนูปนเปื้อนอยู่ โดยจะมีมากในบริเวณกลางของทะเลสาบ เป็นสารที่มากับน้ำจากแม่น้ำโขงที่ย้อนเข้ามาในทะเลสาบต้องมีการศึกษาหาทางจัดการกับการนำมาใช้ต่อไป ส่วนเรื่องปลาแปลกปลอมที่พบมาจากธุรกิจ สปาเท้าที่ใช้ปลาตอดเท้านักท่องเที่ยว เป็นพันธุ์ปลาจากตุรกีหรืออัฟริกา และมีการเพาะเลี้ยงในสิงคโปร์และประเทศไทย หากปล่อยให้แพร่พันธุ์ในธรรมชาติอาจส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม<br /><br /> ๓.๕ การนำชมวัดในเมืองเสียมราฐ กล่าวนำโดย คุณ CHAU SUN Kerya และนำเสนอโดย ศ. Vittorio ROVEDA นักประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ปรึกษาของ APSARA ด้านการพัฒนาวัฒนธรรม เป็นการนำเสนอข้อมูลของ ๑๒ วัดที่ตั้งอยู่กลางเมืองริมแม่น้ำเสียมราฐ เพื่อเพิ่มเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในเมือง และพัฒนาสินค้าที่ระลึกทางพุทธศาสนา ทำแผนที่การท่องเที่ยวใหม่เชื่อมโยงนครวัด ผ่าน ๑๒ วัดในเมือง ไปสู่ปราสาทพนมกรม (ตั้งข้อสังเกตว่าวัดเหล่านี้น่าจะเป็นรูปแบบหลังรัชกาลที่ ๔ เป็นช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของไทย)<br /><br /> ๓.๖ โบราณคดีและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โครงการใหม่ของความร่วมมือระหว่างประเทศโดยรอบสนามบินเสียมราฐเมืองพระนคร โดย นาย Pierre BATY สืบเนื่องจากความต้องการในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสนามบิน ซึ่งมีแหล่งโบราณสถานอยู่ด้วย ทั้งปราสาทและแหล่งโบราณคดี จึงได้เกิดโครงการให้ความช่วยเหลือทางโบราณคดีขึ้นเพื่อขุดกู้แหล่งเหล่านี้ ในขณะดำเนินการก็ได้เปิดให้ประชาชนได้เข้าชม เป็นตัวอย่างที่ส่งเสริมให้งานโบราณคดีเป็นส่วนสำคัญที่จะต้องดำเนินการในการพัฒนาพื้นที่และการก่อสร้างใดๆ โบราณวัตถุหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบจะได้นำมาจัดแสดงในพื้นที่ ในอาคารสนามบิน หรือพิพิธภัณฑ์ มีการเปิดโอกาสให้มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นและยังได้เป็นที่ฝึกงานของนักโบราณคดีจากประเทศฝรั่งเศส<br /><br /> ๓.๗ โครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย Palermo ประเทศอิตาลี และ APSARA ในการอบรมทางด้านการซ่อมแซมมรดกวัฒนธรรม โดย ศ. Giovanni RIZZO เป็นการแนะนำมหาวิทยาลัยและหลักสูตรต่างๆทางด้านการอนุรักษ์ ที่เน้นทางด้านการอนุรักษ์โบราณวัตถุ เพื่อซ่อมโบราณวัตถุในคลัง ๔๐๐๐ ชิ้น<br /><br /> ๓.๘ การแข่งขันไตรกีฬานานาชาติที่เมืองพระนคร โดย นาย VAT Chamroeun เลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งกัมพูชา เป็นการนำเสนอเส้นทางและสถานที่ที่จะใช้ในการแข่งขันกีฬาประกอบด้วยการว่ายน้ำในบารายตะวันตก เส้นทางจักรยานรอบเมืองนครธม และการวิ่งในเส้นทางนครวัด <br /> สรุปและปิดการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองพระนคร ครั้งที่ ๑๙ เวลา ๑๕.๔๐ น. </div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-74532321935124237372010-07-07T01:12:00.000-07:002010-07-07T01:19:09.394-07:0018th Technical Session of the ICC Angkorรายงานการประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองพระนคร ครั้งที่ ๑๘<br /><br />การประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญของคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศเพื่อการปกป้องคุ้มครองและพัฒนาสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของเมืองพระนคร (International Coordinating Committee for Safeguarding and Development of the Historic Site of Angkor : ICC Angkor) จัดขึ้นเป็นครั้งที่ ๑๘ ระหว่างวันที่ ๒ – ๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ ณ โรงแรม Sokha Angkor เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา<br />ตัวแทนประเทศไทยที่เข้าร่วมประชุมได้แก่<br />๑. นายชโลธร เผ่าวิบูล อัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ เป็นหัวหน้าคณะ<br />๒. นายวสุ โปษยะนันทน์ สถาปนิกระดับชำนาญการพิเศษ กรมศิลปากร<br />พร้อมด้วยผู้สังเกตการณ์จาก กระทรวงการต่างประเทศ ๒ ท่าน ได้แก่<br />๑. นายประสม แพ่งทอง<br />๒. นางสาววนาลี โล่ห์เพชร<br /><br />วันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒ เริ่มการประชุม เวลา ๘.๓๐ น. โดยมีวาระการประชุมและสาระโดยย่อดังนี้<br /><br />วาระที่ ๑ พิธีเปิดการประชุม ประกอบด้วยการกล่าวเปิดโดย นาย Dominique FRESLON และ นาย Norio MARUYAMA สองประธานร่วมผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ตามลำดับ และการกล่าวของ นาย SOK An รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเน้นในเรื่องการจัดการน้ำ การรักษาสิ่งแวดล้อม และเรื่องการท่องเที่ยว<br /><br />วาระที่ ๒ เรื่องการวิจัยและการอนุรักษ์<br /> ๒.๑ นาย Azedine BESCHAOUCH, ICC Permanent Scientific Secretary กล่าวรายงานกิจกรรมของ ICC-Angkor และการนำเอาคำแนะนำต่างๆที่ผ่านมาไปสู่การปฏิบัติ กล่าวถึงเรื่องน่ายินดีที่สามารถดำเนินการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างใหม่ที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ ได้<br />๒.๒ นาย BUN Narith ผู้อำนวยการใหญ่ APSARA Authority กล่าวรายงานกิจกรรมต่างๆของ APSARA เช่น การเปิดศูนย์ต้อนรับใหม่ของเมืองพระนคร งานปรับภูมิทัศน์ งานสาธารณูปการต่างๆ เช่น ถนน สะพาน การจัดตั้ง Eco-villages ทำให้ประชาชนยังคงอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่อนุรักษ์<br />๒.๓ การนำเสนอผลการทำงานที่ปราสาทบายนของ JASA (Japan – APSARA Team for Safeguarding Angkor) ประกอบด้วย<br />๒.๓.๑ รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการบูรณะอาคารบรรณาลัยใต้ โดย ดร. KOU Vet นักโบราณคดี กล่าวถึงการค้นพบโครงสร้างศิลาแลงภายในส่วนฐานของบรรณาลัย ซึ่งสันนิษฐานว่าใช้เป็นโครงสร้างช่วยรับน้ำหนักส่วนบนของอาคาร เพิ่มเติมจากโครงสร้างทรายบดอัดแน่นที่พบได้ทั่วไปในอาคารหลังอื่นๆ และ นาย SOEUR Sothy สถาปนิก เสนอผลการทดลองประกอบหินสำหรับการบูรณะส่วนบนของอาคาร<br />๒.๓.๒ นาย SHIMODA Ichita สถาปนิก รายงานผลการศึกษาเกี่ยวกับระบบโครงสร้าง ฐานราก ของปราสาทประธาน ซึ่งเป็นการดำเนินการในส่วนที่ EFEO (สำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ) เคยมีการขุดตรวจและกลบไว้ตั้งแต่ในปี ค.ศ.๑๙๓๓ โดย ขุดลึกลงไปที่ระดับ ๑๔ เมตร มีการตรวจสอบผลกระทบเรื่องความมั่นคงของโครงสร้างจากการขุดตรวจและการฝังกลบในอดีต<br />๒.๓.๓ ศาสตราจารย์ ดร. NAKAGAWA Takeshi รายงานเรื่องวิธีการอนุรักษ์ภาพสลักนูนต่ำภายในระเบียงคดของปราสาทบายน ที่เริ่มต้นจากการเก็บบันทึกข้อมูลของภาพสลักนูนต่ำทั้งหมด จากภาพถ่าย ทำเป็นภาพลายเส้น ๒ มิติ และภาพ ๓ มิติ โดยใช้เลเซอร์สแกนเนอร์ เป็นการศึกษารูปแบบศิลปกรรมพร้อมด้วยข้อมูลการเสื่อมสภาพ และจุลินทรีย์ที่พื้นผิวหิน เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางในการอนุรักษ์ต่อไป นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงพระพุทธรูปปางนาคปรกขนาดใหญ่ ที่พบผังอยู่ใต้พื้นปราสาทประธาน ในขณะที่พบมีสภาพแตกเป็นชิ้นๆและถูกฝังอยู่ในระดับลึกถึง ๑๒ เมตร หลังจากการซ่อมแซมองค์พระเป็นที่เรียบร้อยได้นำมาประดิษฐานให้สักการะบูชาที่วัดที่ตั้งอยู่นอกบริเวณของปราสาทบายนเป็นระยะเวลานานแล้ว จึงมีแนวคิดที่จะจัดสร้างพระพุทธรูปประธานของปราสาทบายน องค์จำลองขึ้นเพื่อนำมาประดิษฐานในตำแหน่งดั้งเดิมเพื่อสื่อความหมายของโบราณสถานแห่งนี้<br /> ๒.๔ นาย Pascal ROYERE สถาปนิกจาก EFEO รายงานผลการดำเนินการในโครงการบูรณะปราสาทบาปวน ทางด้านทิศตะวันตกของปราสาทที่มีการดัดแปลงเป็นพระพุทธรูปนั้นการบูรณะในส่วนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ได้มีการรื้อฟื้นส่วนโคปุระตะวันตกและระเบียงคดด้านหลังองค์พระให้สามารถเดินได้โดยรอบตามลักษณะของระเบียงคดได้ตามรูปแบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมด้วย นอกจากนี้ที่โคปุระด้านทิศเหนือยังได้บูรณะแล้วเสร็จจนถึงยอดชั้นบนสุด<br />โดยทั่วไปในการบูรณะส่วนฐานชั้นต่างๆของปราสาท หลังจากการเสริมโครงสร้างภายในจะเป็นการนำหินดั้งเดิมกลับมาเรียง ณ ตำแหน่งดั้งเดิม จากผลการดำเนินการจะเห็นว่าจำเป็นต้องมีการใช้หินใหม่ในการบูรณะเพื่อทดแทนผนังหินในส่วนที่ขาดหายไปเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามในการบูรณะยังคงปฏิบัติตามแนวทางของกฎบัตรเวนิช ที่กำหนดให้แสดงความแตกต่างระหว่างวัสดุดั้งเดิมและวัสดุใหม่ในการบูรณะ และได้เพิ่มความกลมกลืนเพื่อความงดงามโดยรวม<br />นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอแผนการดำเนินการในลำดับต่อไปได้แก่การบูรณะส่วนปราสาทประธานซึ่งอยู่ในส่วนบนสุดของโบราณสถาน<br />๒.๕ การนำเสนอโดยคณะของ WMF (World Monuments Fund) เกี่ยวกับโครงการอนุรักษ์ที่ปราสาทพนมบาแค็ง และระเบียงคดด้านทิศตะวันออกที่มีรูปสลักการกวนเกษียรสมุทรที่ปราสาทนครวัด รายงานโดย นาย Glenn BOORNAZIAN สถาปนิกและนักอนุรักษ์ และนาย CHEA Sarith นักโบราณคดี เริ่มจากการรายงานผลสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว มีการศึกษาสภาพโครงสร้างของปราสาทพนมบาแค็ง ปัญหาการเสื่อมสภาพ และแนวทางที่จะใช้สำหรับการบูรณะ ข้อมูลจากการดำเนินการทางโบราณคดีที่ปราสาทพนมบาแค็ง และรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินการที่ปราสาทนครวัด โดยโครงการอนุรักษ์ปราสาทพนมบาแค็งเฉพาะทางด้านตะวันออกนี้คาดว่าจะเสร็จในปี ๒๐๑๓<br />๒.๖ การนำเสนอโดยคณะของ ASI (Archaeological Survey of India) กล่าวแนะนำโดยนาย K.N. SHRIVASTAVA อธิบดีของ ASI และการรายงานในด้านต่างๆโดย นาย M.M. KANADE เรื่องหลักการในการอนุรักษ์ปราสาทตาพรม ดร. N S K Harshm จาก FRI (Forest Research Institute) รายงานเรื่องการอนุรักษ์ต้นไม้ในโบราณสถาน และนาย VK GUPTA วิศวกร รายงานเรื่องการเสริมความมั่นคงแข็งแรงและระบบการระบายน้ำ<br /> ในลำดับแรกกล่าวถึงหลักการที่นำมาใช้ในโครงการนี้ได้แก่ การรักษาความเป็นของแท้และบูรณาภาพของโบราณสถาน ต่อด้วยเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาของต้นไม้ใหญ่ในบริเวณปราสาทตาพรม ที่ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของโบราณสถานที่จะต้องรักษาไว้ รายงานผลการดำเนินการในการแก้ปัญหา เช่น การรักษาต้นไม้ที่เป็นโพรงด้วยการใช้ยางไม้พื้นถิ่นแทนการใช้ซีเมนต์ การทำทางเดินไม้และชานไม้สำหรับเป็นที่ถ่ายรูปให้นักท่องเที่ยวเพื่อจะได้ไม่ต้องเหยียบไปบนรากไม้อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ต้นไม้ตาย เมื่อรากไม้ไม่ยึดดินอีกต่อไปก็อาจโค่นล้มทำให้โบราณสถานเสียหายได้ ทั้งนี้ได้มีการเสนอผลการศึกษาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับต้นไม้ในพื้นที่ทั้งหมด ๑๓๑ ต้น<br />ทางด้านวิศวกรรมมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการค้ำยันโบราณสถานจากเดิมที่เป็นโครงทรัสไม้ที่กีดขวางการเยี่ยมชมโบราณสถาน มาเป็นแบบที่ยืดหยุ่นปรับแต่งได้เพื่อเปิดโล่งให้การเดินชมโบราณสถานเป็นไปได้โดยสะดวกขึ้น มีการเสนอผลการทำงานในส่วนที่บูรณะไปแล้ว การขุดพบร่องรอยระบบการระบายน้ำแบบดั้งเดิมที่ได้เน้นจัดแสดงไว้เป็นพิเศษ ในขณะที่วางระบบการระบายน้ำใหม่เป็นระบบบ่อซึมที่ไม่มีท่อ เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการขุดดินที่จะกระทบต่อรากไม้ และมีข้อเสนอโครงการบูรณะ Hall of Dancers อย่างเต็มรูปแบบในขณะที่เสนอให้รัดรอบส่วนยอดปราสาทในบางจุดที่ไม่จำเป็นจะต้องมีการถอดรื้อหินของอาคารลงมาก่อนทั้งหมด<br />๒.๗ นาย Valter M. SANTORO จาก I.Ge.S (Ingegneria Geotecnica e Structural snc) ของประเทศอิตาลี นำเสนอเรื่องการบูรณะทางดำเนิน สะพานนาค โคปุระ ขอบสระน้ำด้านทิศตะวันตก และบากัน(ระเบียงคดชั้นใน)ด้านตะวันตกของปราสาทนครวัด โดยเสนอแผนการการบูรณะ การเอาเสาซีเมนต์จากการบูรณะในอดีตออกและผลการศึกษาการจำลองสภาพการแคลื่อนตัวเปลี่ยนรูปทางด้านโครงสร้างของส่วนบากัน<br />๒.๘ การนำเสนอโดยคณะของ CSA (Chinese Safeguarding Angkor) เกี่ยวกับโครงการบูรณะที่ปราสาทตาแก้ว ประกอบด้วย หลักการโดยทั่วไปที่จะนำมาใช้ในการอนุรักษ์ โดยศาสตราจารย์ HOU Weidong ผู้อำนวยการโครงการตาแก้ว รองประธานอิโคโมสจีน และรองประธาน CACH (Chinese Academy of Cultural Heritage) และการรายงานผลการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเพื่อการอนุรักษ์โดย ดร. WEN Yuqing แนวความคิดในการอนุรักษ์ประกอบด้วย การรักษาความเป็นของแท้และบูรณาภาพ การหลีกเลี่ยงความเสียหายที่เกิดจาการถอดรื้อหิน ถ้ามีความจำเป็นอาจใช้เทคโนโลยีระดับสูงได้ การใช้วัสดุใหม่ในการบูรณะต้องมีการทดสอบก่อน การเสริมความมั่นคงแข็งแรงใดใดจะต้องมีลักษณะที่ปรับแก้ไขได้ หินหล่นทั้งหมดควรจะต้องนำกลับไปไว้ในที่ตั้งดั้งเดิม โดยปกติจะต้องไม่มีการปฏิสังขรณ์อย่างเต็มรูปแบบขึ้นมาใหม่ จากแผนการดำเนินการที่นำเสนอในช่วงแรกเป็นโครงการระยะสั้นในระยะเวลา ๕ ปี (๒๐๑๐-๒๐๑๕) ก่อน<br />๒.๙ รายงานความคิดเห็นโดยคณะเฉพาะกิจของผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วย ศาสตราจารย์ Mounir BOUCHENAKI ศาสตราจารย์ Giorgio CROCI และศาสตราจารย์ Pierre-Andre LABLAUDE จากการตรวจสอบเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๒<br />ในส่วนของการดำเนินงานของคณะจากประเทศอิตาลี ที่ปราสาทนครวัด เห็นด้วยกับการเสริมโครงสร้างในลักษณะที่มองไม่เห็นจากภายนอกพร้อมๆกับการเสริมความมั่นคงเนื้อวัสดุของหิน และการระบายน้ำ แต่ขอให้เสริมวัสดุใหม่ในการอนุรักษ์ และขอให้ทำบันไดไม้เพื่ออำนวยความสะดวกในการเยี่ยมชมด้วย<br />สำหรับโครงการอนุรักษ์ที่ปราสาทพนมบาแค็งของ WMF คณะผู้เชี่ยวชาญแสดงความเป็นห่วงในส่วนของโครงสร้างที่เป็นอิฐที่ย้ำให้มีการกำกับดูแลเป็นพิเศษ<br />ที่ปราสาทเบ็งมีเลีย น่าจะได้สนับสนุนการเรียนรู้ของเยาวชนในพื้นที่ ส่วนสะพานโบราณที่ยังคงมีการใช้สอยมาจนถึงในปัจุบัน ควรจะต้องมีการเสริมความมั่นคงแข็งแรงต่อไป<br />สำหรับการดำเนินการที่ปราสาทบาปวน ของ EFEO ให้เน้นเรื่องการศึกษาข้อมูลที่แท้จริงของรูปแบบสถาปัตยกรรมควบคู่ไปกับการสื่อความหมายให้เป็นที่เข้าใจ<br />ในการดำเนินการที่บรรณาลัยใต้ ปราสาทบายน ของคณะ JASA กล่าวถึงการเปิดโอกาสให้ชาวกัมพูชารุ่นใหม่ได้เข้าร่วมงานในโครงการ และการค้นพบโครงสร้างพิเศษในส่วนฐานของอาคารจากการตรวจสอบโครงสร้างภายในของอาคาร<br />สำหรับการดำเนินการที่ปราสาทตาพรมของคณะ ASI เป็นงานที่ขาดความชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่าจะนำหลักการใดมาเป็นแนวทางในการดำเนินการ จะเลือกอาคารโบราณหรือต้นไม้เพื่อเป็นการเอาใจนักท่องเที่ยว สิ่งที่ดำเนินการในขณะนี้เห็นว่ามีความสมดุลที่ดี ขอแนะนำว่าระหว่างการขุดดินเพื่อจัดทำระบบระบายน้ำควรให้มีนักโบราณคดีมาร่วมงานเพื่อเก็บข้อมูลของการขุดไว้ด้วย รวมทั้งควรมีนักอนุรักษ์หินเข้าร่วมในคณะทำงานด้วย<br />และในโครงการที่ปราสาทตาแก้วของคณะ CSA ขอสนับสนุนความสำคัญของการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจถึงเหตุแห่งการเสื่อมสภาพของโบราณสถาน ซึ่งในแต่ละกรณีจะมีความแตกต่างกันออกไป และสำหรับกรณีของปราสาทตาแก้วนี้มีจุดอ่อนทางโครงสร้างอยู่ที่ส่วนมุมของอาคาร<br />นอกจากนี้ยังได้มีการเสนอในเรื่องความเสียหายและการอนุรักษ์แท่งหิน obelisk ซึ่งทางประเทศอิตาลีได้นำจัดส่งคืนให้กับประเทศเอธิโอเปีย<br />๒.๑๐ การนำเสนอโดยคณะของมหาวิทยาลัย Sophia ประเทศญี่ปุ่น โดยนาย Satoru MIWA สถาปนิก เกี่ยวกับโครงการอนุรักษ์ที่ ทางเดินเข้าปราสาทนครวัดทางด้านตะวันตก ซึ่งดำเนินการมาถึงในระยะที่ ๒ และโครงการเสริมความมั่นคงแข็งแรงโครงสร้าง ๖ ส่วนของปราสาทบันทายกุฎี ต่อเนื่องจากโครงการในอดีตนับตั้งแต่การขุดค้นทางโบราณคดีที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ๒๐๐๑ มาจนถึงการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ในปี ๒๐๐๗<br />๒.๑๑ การนำเสนอผลงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์หิน ประกอบด้วย<br />๒.๑๑.๑ ศาสตราจารย์ ดร. Hans LEISEN จากคณะ GACP (German APSARA Conservation Project) บรรยายเรื่องจุดยืนในการอนุรักษ์หินของโบราณสถาน กล่าวถึงความเสียหายของเนื้อหินที่เกิดจากการอนุรักษ์ที่ผิดวิธี กล่าวถึงหลักการและเหตุผลที่แสดงให้เห็นว่าการใช้สารกันน้ำที่ผิวหินไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับโบราณสถานเมืองพระนคร ด้วยเหตุที่การใช้สารกันน้ำนี้เป็นการดำเนินการที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และอาจก่อให้เกิดผลตามมาที่รุนแรง คุณสมบัติการกันน้ำจะหมดไปในเวลาอย่างมากที่สุด ๑๐ ปีทำให้ต้องมีการใช้สารกันน้ำอีกครั้ง ในการใช้ซ้ำนี้จะทำให้การระเหยออกของความชื้นจากภายในเนื้อหินเป็นไปได้ยากมาก อีกทั้งเงื่อนไขเบื้องต้นต่างๆสำหรับการใช้สารกันน้ำได้อย่างปลอดภัย ยังไม่มีเพียงพอที่เป็นหลักประกันในการนำมาใช้ได้<br />๒.๑๑.๒ นาง Elke TIGGES สถาปนิก ที่ปรึกษาของ APSARA Stone Conservation Unit และ DED (Deutscher Entwicklungsdienst German Development Authority) บรรยายเรื่องการอนุรักษ์หินทรายในเมืองพระนคร โดยหน่วยงานถาวรของผู้เชี่ยวชาญชาวกัมพูชาในด้านการอนุรักษ์หินของ APSARA ด้วยความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญของคณะจากประเทศเยอรมัน ได้นำเสนอผลงานการอนุรักษ์ประติมากรรมรูปช้างที่ปราสาทแม่บุญตะวันออก โดยในส่วนงานสลักหินใหม่มาเสริมให้สมบูรณ์ได้รับความช่วยเหลือจากคณะของสาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ยังมีงานซ่อมสิงห์ ซ่อมราวสะพานทางเข้าเมืองนครธมทางด้านประตูชัย งานซ่อมภาพสลักนูนต่ำเรื่องกวนเกษียรสมุทรที่ปราสาทนครวัดซึ่งส่วนอาคารเป็นงานบูรณะของคณะ WMF การบันทึกภาพสลักที่ถ้ำ Peung Thabal พนมกุเลน การซ่อมเสาประดับกรอบประตูที่ปราสาท O Paoung เทวรูปและกากบาทหิน ที่ปราสาท Reung Chen พนมกุเลน<br />๒.๑๑.๓ นาง Yoko FUTAGAMI นักวิทยาศาสตร์จาก Tokyo National Research Institute for Cultural Properties ประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึงผลการศึกษาจุลินทรีย์ ที่ปราสาทตาเน็ย เพื่อการอนุรักษ์หินของโบราณสถาน ในเรื่องความเสียหายของเนื้อหินจาก มอส และ ไลเคน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ไลเคนที่เพิ่งได้พบใหม่ที่กัมพูชานี้ และพบว่าไลเคนมีส่วนเกาะยึดที่แทรกลงไปในเนื้อหินได้ ๗-๒๐ มม.มีผลโดยตรงที่ทำให้หินเสื่อมสภาพ ในขณะที่สำหรับมอสไม่มีหลักฐานแน่ชัดอธิบายการเสื่อมสภาพของหินในจุดที่มีมอสขึ้นอยู่ แต่ก็เห็นได้ว่ามอสเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หินเสื่อมสภาพในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง การควบคุมสภาพแวดล้อมในเรื่องความชื้นจึงมีความจำเป็นควบคู่ไปกับการอนุรักษ์เนื้อหิน<br />๒.๑๑.๔ ดร. Tomo ISHIMURA นักวิทยาศาสตร์จาก Nara National Research Institute for Cultural Properties ประเทศญี่ปุ่น รายงานผลการศึกษาที่ ปราสาททัพตะวันตก เมืองพระนคร และโครงการความร่วมมือที่ให้การสนันสนุนการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ประจำแหล่งเตาเผาเครื่องถ้วยโบราณ Tani ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดแสดงข้อมูลและเปิดให้เข้าชมในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้<br />๒.๑๑.๕ ศาสตราจารย์ Marie-Francoise ANDRE จากมหาวิทยาลัย Blaise Pascal เมือง Clermont Ferrand ประเทศฝรั่งเศส บรรยายเรื่องความพยายามในการจำลองสถานการณ์การเสื่อมสภาพของหินทรายที่ปราสาทตาแก้ว ระหว่างปี ๑๙๐๕ – ๒๐๐๘ และจากการเปรียบเทียบการเสื่อมสภาพกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสภาพโดยรอบของปราสาทได้พบว่า การตัดไม้โดยรอบปราสาทที่ทำให้ระดับความชื้นเปลี่ยนแปลงมีผลโดยตรงต่อการเสื่อมสภาพ การหลุดร่อนของลวดลายประดับที่ผิวของหิน<br /><br />จบการประชุมในวันแรก<br /><br />วันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๒<br /><br />ออกจากที่พักเวลา ๗.๐๐ น. เพื่อไปดูงานความคืบหน้าของโครงการอนุรักษ์โบราณสถานเมืองพระนคร ที่ปราสาทพนมบาแค็ง อยู่ระว่างการดำเนินงานโดยคณะ WMF (World Monuments Fund) และที่ปราสาทบายน อยู่ระหว่างการดำเนินงานโดยคณะ JASA (Japan – APSARA Team for Safeguarding Angkor)<br /><br />เริ่มการประชุม เวลา ๙.๓๐ น. โดยมีวาระการประชุมและสาระโดยย่อดังนี้<br />๒.๑๒ การนำเสนอผลงานที่เกี่ยวข้องกับโบราณคดีที่เมืองพระนคร ประกอบด้วย<br />๒.๑๒.๑ การบรรยายเรื่อง ว่าด้วยโบราณคดีที่มืองพระนคร โดยศาสตราจารย์ Claude JACQUES<br />๒.๑๒.๒ นาย Christophe POTTIER สถาปนิกจาก EFEO รายงานผลงานวิจัยล่าสุดในโครงการของ MAFKATA (Mission Archeologique Franco-Khmere pour Amenagement du Territoire Angkorien)<br />๒.๑๒.๓ ศาสตราจารย์ Jacques GAUCHER นักโบราณคดีจาก EFEO นำเสนอผลการวิจัยใหม่ของเมืองนครธม ได้แก่ องค์ประกอบแรกๆสำหรับการลำดับยุคสมัยในบริเวณพระราชวัง<br />๒.๑๒.๔ นาย Eric BOURDONNEAU นักโบราณคดีจาก EFEO รายงานผลการทำงานทางโบราณคดีที่เมืองเกาะแกร์ ได้แก่ การขุดตรวจหาข้อมูลของโบราณสถานPhno Damrei Sa หรือสุสานช้างเผือก และการตรวจสอบหาที่ตั้งของรูปเคารพจากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ที่พื้นอาคาร ที่ปราสาทธม<br />๒.๑๒.๕ นาย ROS Borath จาก APSARA พร้อมด้วย นาย Jean-Baptiste CHEVANCE จาก Archaeology and Development Foundation รายงานผลและแผนการดำเนินการทางโบราณคดีในปี ๒๐๐๙ ในบริเวณพื้นที่กลุ่มโบราณสถานพนมกุเลน ได้แก่ ปราสาท Krol Romeas ปราสาท Thma Dap ถ้ำ Peung Tbal ปราสาท Rong Chen ปราสาท O Paong ซึ่งนอกจากงานทางโบราณคดี ยังได้ดำเนินการค้ำยัน ซ่อมแซม และทำเฝือกปกป้องเป็นการชั่วคราวด้วย<br /> ๒.๑๓ นาย Janos JELEN ประธานที่ปรึกษาด้านการบริหารของ Royal Angkor Foundation นำเสนอรายละเอียดของแผนโครงการ Jaya Kor Ker ที่กลุ่มโบราณสถานเกาะแกร์ ดำเนินการโดย Royal Angkor Foundation โดยเป็นโครงการที่มีการใช้แผนพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นเครื่องมือ มีการคำนึงถึงธรรมชาติสภาพแวดล้อม และชุมชน ควบคู่ไปกับโบราณสถาน จึงได้แบ่งโครงการออกเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับมรดกวัฒนธรรม กิจกรรมด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมด้านชุมชน ที่จะนำไปสู่ข้อเสนอของการปรับเปลี่ยนขอบเขตของพื้นที่โครงการที่ เกาะแกร์นี้ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับโครงการมากขึ้น<br /> ๒.๑๔ ศาสตราจารย์ Roland FLETCHER จาก มหาวิทยาลัยซิดนีย์ นำเสนอผลการศึกษาเรื่อง รูปแบบการพักอาศัยในอดีตของเมืองพระนคร เพื่อความเข้าใจในลักษณะความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้นที่เมืองพระนคร<br /> ๒.๑๕ นาย ROS Borath จาก APSARA บรรยายเรื่อง ปลวกในเมืองพระนคร แสดงถึงสายพันธุ์ต่างๆของปลวกและผลกระทบที่มีต่อโบราณสถาน<br /> ๒.๑๖ นาย IM Sokrithy นักโบราณคดี จาก APSARA ผู้ประสานงานโครงการ Living Angkor Road รายงานผลการดำเนินการศึกษาข้อมูลของเส้นทางราชมรรคาจากเมืองพระนครสู่เมืองพิมาย ซึ่งเป็นเส้นทางโบราณที่นอกจากจะมีแนวถนนโบราณแล้วยังพบหลักฐานของสะพานโบราณที่ยังใช้งานอยู่ และโบราณสถานอยู่เรียงรายตลอดทั้งเส้นทาง รวมถึงธรรมศาลา และ อโรคยศาลาซึ่งปรากฏในจารึกปราสาทตาพรมและปราสาทพระขรรค์ ส่วนหนึ่งอยู่ในเขตกัมพูชา อีกส่วนหนึ่งอยู่ในเขตประเทศไทย พบข้อมูลของผังที่เป็นเอกลักษณ์ของธรรมศาลาที่บ้าน Phum Kol การศึกษาในโครงการนี้ในระยะต่อไปจะได้ขยายพื้นที่สู่เส้นทางโบราณอื่นๆ ได้แก่ เส้นทางสู่ปราสาทวัดพู จำปาสัก และ เส้นทางสู่ปราสาทสด๊กก๊อกธม จ.สระแก้ว โดยมีข้อแม้ในเบื้องต้นว่าจะศึกษาเฉพาะในเขตราชอาณาจักรกัมพูชาเท่านั้น<br /> ๒.๑๗ ศาสตราจารย์ T.S. MAXWELL จากมหาวิทยาลัยบอนน์ รายงานความก้าวหน้าในการศึกษาเรื่องจารึกโบราณของเมืองพระนคร<br /><br />วาระที่ ๓ เรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน <br /> ๓.๑ นาย Azedine BESCHAOUCH, ICC Permanent Scientific Secretary นำเสนอวิธีการดำเนินการของคณะเฉพาะกิจของผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน<br /> ๓.๒ นาย Philippe DELANGHE ผู้เชี่ยวชาญโครงการทางวัฒนธรรม ยูเนสโก สำนักงานพนมเปญ รายงานผลการสัมมนาเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานด้านการจัดการน้ำในเมืองพระนครและบริเวณโดยรอบ<br /> ๓.๓ นาย Bruno FAVEL ผู้ประสานงานจากกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศฝรั่งเศส กล่าวถึงโครงการความร่วมมือจากกระทรวงวัฒนธรรมด้านสถาปัตยกรรมและมรดก (DAPA)<br /> ๓.๔ นาง CHAU SUN Kerya ผู้อำนวยการ Department of Cultural Development, Museums and Heritage Norms ของ APSARA รายงานเรื่องโครงการปรับปรุงบริเวณศูนย์ต้อนรับและศูนย์ข้อมูลปราสาทบันทายสรี ที่มีการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก กำหนดขอบเขตพื้นที่บริการให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่ออนุรักษ์สภาพโดยรอบของโบราณสถาน<br /> ๓.๕ ดร.TAN Bun Suy ผู้อำนวยการ Department of Agriculture and Community Development ของ APSARA รายงานเรื่อง การพัฒนาทางเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน ที่คำนึงถึงคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ที่เป็นเกษตรกร การผลิตอาหารรองรับการท่องเที่ยว การรักษาสิ่งแวดล้อมที่มีเอกลักษณ์ของทะเลสาบโดยไม่ใช้สารเคมี มีการนำเอาบารายซึ่งเป็นองค์ประกอบโบราณมาใช้ประโยชน์การการเกษตร<br /> ๓.๖ การนำเสนอผลงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการฝึกอบรม ประกอบด้วย<br />๓.๖.๑ นาง SISOWATH Chandevy ผู้อำนวยการโครงการศูนย์ฝึกอบรมวิชาชีพการอนุรักษ์มรดกในระดับภูมิภาค(กัมพูชา ลาว และเวียตนาม) และนาย Sylvian ULISSE ผู้ประสานงานกิจกรรมของโครงการ ได้รายงานผลการทำงานของโครงการที่ได้จัดการอบรมเป็นรุ่นที่ ๒ แล้ว ด้วยความร่วมมือของ Ecole de Chaillot สถาบันการศึกษาที่ทำหน้าที่ผลิตสถาปนิกที่ทำงานอนุรักษ์สำหรับทั้งภาครัฐและเอกชนของประเทศฝรั่งเศส ในโครงการนี้เป็นหลักสูตรการอบรมระยะเวลา ๑๐ เดือน มีผู้เข้ารับการอบรมในปีแรก ๒๒ คนเป็นกัมพูชา ๘ คน ลาว ๕ คน เวียตนาม ๙ คน และในปีที่๒จำนวน ๒๑ คน เป็นกัมพูชา ๙ คน ลาว ๓ คน เวียตนาม ๙ คน<br />๓.๖.๒ นาย Michal BLAZEK จาก Czech Project in Angkor รายงานผลการฝึกอบรมในโครงการ Czech Republic School of Restoration ที่ปราสาทพิมานอากาศ เป็นการให้ความรู้ในเรื่องการดูแลรักษา ทำความสะอาด และซ่อมแซม งานประติมากรรม ได้แก่รูปสิงห์ซึ่งตั้งอยู่หน้าบันไดแต่ละด้านของปราสาท ให้แก่ช่างชาวกัมพูชารวมทั้งพระภิกษุ ในการซ่อมแซมได้มีการนำผลิตภัณฑ์หินเทียมของ Czech ซึ่งมีส่วนผสมของปูนซีเมนต์ขาวมาใช้ด้วย<br />๓.๖.๓ นาย Nobuo ENDO จากมหาวิทยาลัยโซเฟีย ประเทศญี่ปุ่น ได้รายงานผลการดำเนินการตามโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านยุทธศาสตร์การศึกษาเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรม จากการฝึกอบรมชาวกัมพูชาในพื้นที่ ไปพร้อมๆกันกับการดำเนินการอนุรักษ์ที่เริ่มมาตั้งแต่เมื่อสิบปีที่แล้ว นอกจากจะได้ผู้ที่มีความรู้ด้านมรดกวัฒนธรรมมากขึ้นยังได้ผลิตบุคลากรในระดับผู้เชี่ยวชาญมาทำงานในปัจจุบันด้วย<br />ในช่วงแสดงความคิดเห็นของวาระเรื่องการฝึกอบรม นาย Simon WARRACK นักอนุรักษ์หิน ชาวอังกฤษ ที่ปรึกษาของ ICCROM (ศูนย์ศึกษาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องการสงวนรักษาและบูรณะสินทรัพย์ทางวัฒนธรรม) ประจำเมืองพระนคร ได้กล่าวในฐานะตัวแทนของ ICCROM ซึ่งมีหน้าที่ให้การสนับสนุนทางด้านการฝึกอบรมว่า จะขอใช้องค์ความรู้จาก ICC-Angkor นี้สำหรับโครงการฝึกอบรมตามโครงการของ ICC-พระวิหาร โดยจะขอรวบรวมเก็บข้อมูลจากคณะต่างๆที่มาทำงานในเมืองพระนครนี้ ทั้งนี้ ICCROM มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี และเป็นหนึ่งในองค์กรที่ปรึกษาของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งคงจะได้รับเชิญให้เป็นองค์ประกอบหนึ่งของ ICC-พระวิหารด้วย สำหรับนาย Simon WARRACK ผู้นี้เดิมเป็นนักอนุรักษ์อิสระทำงานในประเทศอิตาลี ได้เข้ามาร่วมงานอนุรักษ์ในเมืองพระนครที่ปราสาทพระโค และปราสาทนครวัด(ในส่วนที่ดำเนินการโดยคณะจากประเทศเยอรมัน)<br /> ๓.๗ การนำเสนอผลงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม โดย ดร. Shinji TSUKAWAKI จากคณะทำงาน ERDAC (Environment Research Development Angkor Cambodia) จากมหาวิทยาลัย Kanazawa ประเทศญี่ปุ่น ได้รายงานถึงผลการจัดประชุมนานาชาติและการสัมมนาเรื่องสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันของอุทยานเมืองพระนคร(Angkor Park) และบริเวณโดยรอบ<br /> ๓.๘ นาง Zhivile MONTVILAITE ตัวแทนของบริษัท Rise Entertainment Group จากประเทศรัสเซีย ได้นำเสนอโครงการจัดเทศกาลดนตรี ศิลปะและวัฒนธรรมนานาชาติ “Angkorica” ประจำปีขึ้น ณ กลุ่มปราสาทเมืองพระนคร โดยเลือกบริเวณปราสาทบายนเป็นเวทีหลักของงาน และกระจายการแสดงไปยังจุดต่างๆ ได้แก่ ที่ปราสาทบาปวน ปราสาทพิมานอากาศ พลับพลาช้าง ปราสาทบันทายกุฎีและสระสรง ปราสาทนาคพัน และถนนจากประตูเมืองนครธมด้านทิศใต้ไปถึงปราสาทบายนทั้งสาย โดยมีหลักการที่จะเลือกเฉพาะการแสดงที่เหมาะสมไม่ขัดแย้งกับความเป็นโบราณสถาน การก่อสร้างเป็นลักษณะโครงสร้างเบาที่จะไม่สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับโบราณสถาน<br />๓.๙ รายงานของคณะผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ สำหรับเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย<br />๓.๙.๑ นาย Jean-Marie FURT ได้ให้คำแนะนำสำหรับโครงการ Angkorica ในนามของคณะผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจว่า ต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้มีสิ่งก่อสร้างใดใดเลยแม้ว่าจะทำเป็นโครงสร้างเบา และควรลดพื้นที่การจัดงานลงเพื่อลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งความจริงแล้วไม่เห็นด้วยกับการจัดกิจกรรมในลักษณะนี้<br />๓.๙.๒ นาย Tetsuji GOTO ได้รายงานคำแนะนำของคณะผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจในเรื่องการปกป้องคุ้มครองและการพัฒนาเมืองเสียมราฐ โดยมีข้อเสนอในที่ประชุมให้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเป็นพิเศษเพื่อศึกษาและดำเนินการในเรื่องการวางผังและกำหนดมาตรการในการจัดการควบคุมดูแลในเรื่องนี้<br /><br /> การประชุมยังมีวาระที่ ๔ เรื่องอื่นๆ วาระที่ ๕ เรื่องข้อแนะนำต่างๆของ ICC-Angkor และวาระปิดการประชุม ซึ่งได้ปิดการประชุมลงในเวลา ๑๙.๓๐ น.<br /><br />ข้อเสนอแนะ การเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้นอกจากจะได้ติดตามความคืบหน้าของฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับกรณีที่เกี่ยวข้องกับการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารแล้ว ยังได้เห็นตัวอย่างรูปแบบของการดำเนินการของคณะกรรมการระหว่างประเทศที่มาร่วมกันดูแลมรดกวัฒนธรรมในกรณีที่เจ้าของมรดกไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองตามที่เป็นข้อเสนอสำหรับปราสาทพระวิหารด้วย และยังได้ติดตามพัฒนาการทางด้านการอนุรักษ์โบราณสถานและการจัดการในด้านต่างๆที่เป็นประโยชน์ในการรักษาไว้ซึ่งคุณค่าของโบราณสถาน จากคณะทำงานจากชาติต่างๆที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือแก่กัมพูชา ในอนาคตจึงน่าที่จะได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมทั้งของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซี่ยนต่อไปประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองพระนคร ครั้งที่ ๑๘Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-67013196127123086982009-12-31T19:30:00.000-08:002009-12-31T21:05:54.141-08:00Happy New Year Sdok Kok Thom 2010<div align="center"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 230px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5421609185106713906" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh_TxLCHi9IrsfDOkOq7oEOlUQiwOSKLG0CroLwvREk27XJHbvUwHF7vjvhuGEy9iQ2btEgzdzl2HDu07oUVHmUyMTHC13gsBEYMXWsaAnXD8AqlSQ2bqy7vh5GAKNJkQ-XE6zZVGaXWIs/s320/happy+2010.jpg" />เมื่อเอารูปปราสาทประธานของปราสาทสด๊กก๊อกธมมาใช้ส่งความสุขปีใหม่ ๒๕๕๓<br />ก็เลยขอนำข้อมูลเรื่องการอนุรักษ์มาบรรณาการด้วยก็แล้วกันครับ...<br /><br /><div align="center"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 219px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5421621018875569922" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfP0njsnGEPam_Bd89LCIZYIJE5l88pI3suUrxN-xYqFCE1lEJSy3CZL3pUYjmE8ZzHAcYLNwctGn1t-2shzkVlhJNcV5cH3aPqOqj9htAZ9NRAdtlcegSYL3Q7n4qpiUb4vQmweYPvmw/s320/%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99.jpg" /> ก่อนการขุดแต่งเคลื่อนย้ายหินหล่น </div><div align="center"> </div><div align="center"></div><div align="center"></div><div align="center"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 216px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5421621769525381698" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg76Uz8nG7F9AHN0Qs1lFz9pl1kg9NxbNiryGNnTEI5xuhyphenhyphenTxTA5G_2wdJw3LzAp8Hi1HsGfY6snOeNZyu8OmHxqPgLq-MBxLLA0lEd8Wr-6XetIHkMgjrGa8Aww5sBh-n21DMgMP1T2pQ/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87.jpg" /> ปราสาทประธานหลังการขุดแต่ง </div><div align="center"> </div><div align="center"></div><div align="center"></div><div align="center"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 211px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5421623195639665666" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLArHRKRKsgeDnImdqGux5N8PvlMjlDB0NiXD0xdzIzRtMcqs_UZhnaOg_hkV-JjtJZClfrQdGZS9N6R00WA7ioSmEvWa5Jaa5vEaICFpW3ThJKWYockYDdS9riGizNouhby-uSpMB-5Q/s320/%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A.JPG" /> ทดลองประกอบหินหล่น ได้ข้อมูลส่วนหน้าบัน</div><div align="center"><br /></div><div align="center"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5421623613634568818" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi1O_FaQEtCz498Dkp_iQXWkjXv1oyk7-fu5UPdroW-ijRg1f3MZZIhHsJrM5Bz64VHLiqyxHh7Wkoa9cYZM1pCOSEUmxat3DS_gs82tDjyFNFiyWPqj5GjJg0HCdxUT7NsSfsDyq7Ougg/s320/%E0%B8%97%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A1.JPG" /> ทดลองเรียงก่อนนำกลับคืนสู่ที่ตั้งดั้งเดิม</div><div align="center"> </div><div align="center"></div><div align="left"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9OeKIDTMlec0vq10h8LKlkQlxMdZHeL_SOQPA9nSS47U4Rksx6-ghWtTaUfWFnph_xVqQTiJyVaPKtCNrYAH6_eewTWrfBvNDRKrUfE1V49Za7M03dXDQ4lctKT4a_V5tZ_DGYGB42ZE/s1600-h/%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A11.JPG"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 240px; FLOAT: left; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5421624166565057346" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi9OeKIDTMlec0vq10h8LKlkQlxMdZHeL_SOQPA9nSS47U4Rksx6-ghWtTaUfWFnph_xVqQTiJyVaPKtCNrYAH6_eewTWrfBvNDRKrUfE1V49Za7M03dXDQ4lctKT4a_V5tZ_DGYGB42ZE/s320/%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A11.JPG" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4Wg-GrkJPHrjXmg1IzLmxvpxVTfWXdCYIDua_OeVJm-4aGu_KgtFoCAPGewWW3AZdluk8gmXxnlvDaolslUdgUSFqWZ66iOcXR8xhCO79XmrTMpErNgw7p6hOMRudpJHxgtHWkbUjZdc/s1600-h/%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A12.JPG"><img style="WIDTH: 240px; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5421624903973413250" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4Wg-GrkJPHrjXmg1IzLmxvpxVTfWXdCYIDua_OeVJm-4aGu_KgtFoCAPGewWW3AZdluk8gmXxnlvDaolslUdgUSFqWZ66iOcXR8xhCO79XmrTMpErNgw7p6hOMRudpJHxgtHWkbUjZdc/s320/%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%A12.JPG" /></a> นำหินกลับคืนสู่ที่ดั้งเดิม</div><div align="left"><br /></div><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 214px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5421625907616236978" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh50lZPu7WDsGJ-WtDGff8ckz5RDRw7NS5aaP1hnSBEHTwUhCGh7vrKitBPRffATogtsJxNcPu8CpIXPk0HLcwzXLEL_eA2c9AKCXSxSSy4OfRdYsrhAH817pM0n2UuBk8uKDw3x8RfqqU/s320/Copy+of+IMG_3681.JPG" /> <img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 194px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5421626712476701266" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYI8QAtz5OJfJfo3CDHMwCTyI_SOX2EsaC74M0rGT8rR44XYFmbsRfJLdk8Von9KyT2H_MeIb4iECzO_fsrDa0cxXQzFJl9NVie31XyQGZoWaGIKDzqlu05z_i_KqsZGd2YGawZ8vetJM/s320/Copy+of+full+full+tm.jpg" /> ปราสาทประธานหลังการบูรณะ</div><div align="center"></div><div align="center"><br /></div><div align="left">อนุรักษ์ปราสาทหินด้วยอนัสติโลซิส<br /><br />การอนุรักษ์โบราณสถานประเภทหินที่ยอมรับกันในระดับสากลว่าเหมาะสมที่สุดในปัจจุบันได้แก่วิธีการประกอบคืนสภาพ หรือที่เรียกว่า อนัสติโลซิส (Anastylosis) เป็นภาษากรีก มีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกเพื่อใช้เรียกวิธีการอนุรักษ์สำหรับกลุ่มโบราณสถานอะโครโปลิสแห่งเมืองเอเธนส์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๖ โดยวิศวกรที่ชื่อนายนิโคลาโอส บาลาโนส เขาได้ให้คำจำกัดความของ อนัสติโลซิส ไว้ว่า “เป็นการนำกลับไปสู่ที่เดิมขององค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของสิ่งก่อสร้างโบราณ” ซึ่งกล่าวโดยสรุปคือ การนำเอาวัสดุดั้งเดิม กลับไปวางไว้ในตำแหน่งดั้งเดิม โดยใช้วิธีการก่อสร้างดั้งเดิม<br /><br />หลังจากที่อนัสติโลซิสเป็นที่ยอมรับและนำมาใช้กับอาคารกรีกโรมัน ก็ได้แพร่หลายมาสู่เอเซียโดยสถาปนิกชาวดัทช์นำมาใช้ที่ชวาก่อน แล้วจึงต่อมาที่เมืองพระนคร ราชอาณาจักรกัมพูชาโดยนายอองรี มาร์ชาล ชาวฝรั่งเศส โดยใช้เป็นครั้งแรกที่ปราสาทบันทายสรี แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องโครงสร้างของสถาปัตยกรรมเขมรจึงจำเป็นต้องใช้โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กร่วมด้วย และในที่สุดก็มาถึงประเทศไทยโดยเริ่มต้นที่ปราสาทพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ในปีพ.ศ.๒๕๐๗ ยูเนสโกได้ส่งสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ๒ ท่านคือนายแบร์นารด์ ฟิลิปป์ โกรส์ลิเยร์ และนายปิแอร์ ปิชารด์ มาเป็นที่ปรึกษาของหม่อมเจ้ายาใจ จิตรพงศ์ ที่ทรงเป็นสถาปนิกโครงการ จากนั้นที่ปราสาทพนมรุ้งและปราสาทเมืองต่ำ จ.บุรีรัมย์ ก็ได้ใช้อนัสติโลซิสต่อมาตามลำดับภายใต้การดูแลของ ดร.สัญชัย หมายมั่น ด้วยหลักการการถอดรื้อหินออกแล้วนำกลับมาเรียงประกอบใหม่ในตำแหน่งดั้งเดิมที่ควรจะเป็น เหนือฐานรากแผ่คอนกรีตเสริมเหล็กที่มั่นคง มีการเสริมโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กซ่อนรับอยู่เป็นจุด ๆ อยู่ด้านในของผนังหิน รวมทั้งระบบระบายน้ำซ่อนอยู่ใต้พื้นหิน เป็นแบบแผนของอนัสติโลซิสที่ใช้ต่อมาอีกหลายปราสาท แต่พัฒนาการด้านการอนุรักษ์ก็ไม่เคยหยุดนิ่ง...<br /><br />อนัสติโลซิสล่าสุดที่สด๊กก๊อกธม สืบเนื่องจากแนวทางล่าสุดที่เห็นชอบโดยกรมศิลปากรแล้วในการลดการใช้โครงสร้างคอนกรีต พร้อมกับระดับของความเป็นของแท้ของวัสดุลง เน้นที่ความเป็นของแท้ของรูปทรง เพื่อประโยชน์ในการสื่อความหมาย ในโครงการบูรณะปราสาทสด๊กก๊อกธม จ.สระแก้ว มีขั้นตอนการดำเนินการหลังการขุดแต่งประกอบด้วย การทำผัง ให้รหัสหินสำหรับชิ้นส่วนของโบราณสถานที่ตกกระจายอยู่เรียกว่า ผังหินหล่น จากนั้นวิเคราะห์และทดลองประกอบหิน ทำการศึกษาเปรียบเทียบ จัดทำแบบบูรณะจากพื้นฐานข้อมูลของลักษณะการเสื่อมสภาพ ผลการทดลองประกอบหิน และแบบวิเคราะห์ ถอดชิ้นส่วนที่ยังคงอยู่ในที่ พร้อมทำผังกำหนดรหัสหินจนครบทีละชั้นทุก ๆ ชั้น เรียกว่า ผังหินรื้อ ดำเนินการเสริมโครงสร้าง โดยทำฐานรากแผ่คอนกรีตเสริมเหล็กที่มีการวางแผ่นกันความชื้นพร้อมด้วยการจัดทำระบบระบายน้ำ ทดลองเรียงหินก่อนนำกลับเข้าที่ทีละ ๓ ชั้น แล้วนำชิ้นส่วนของโบราณสถานทั้งหมดกลับเข้าที่ตั้งดั้งเดิม ทำการก่อเสริมโครงสร้างดั้งเดิมด้วยการก่อศิลาแลงใหม่สอด้วยปูนขาวหมักเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของโครงสร้างเดิม กรณีที่จำเป็นต้องใช้วัสดุใหม่มาเสริมใช้หินทรายที่มีสมบัติใกล้เคียงกับวัสดุเดิม แต่งผิวสัมผัสให้เห็นได้ว่าแตกต่างเมื่อพิจารณาใกล้ๆ แม้ต้องใช้หินใหม่มากกว่าสมัยก่อนแต่ได้ช่วยลดการใช้ปูนซีเมนต์ลงพร้อมกับได้รูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณที่เข้าใจได้คืนมาจากสภาพเดิมที่เป็นเพียงกองหิน<br /><br /></div><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 213px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5421627517079441954" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEilbmUc4M_HTJJ028BB-xza58xAtjiR5_tyRySuH8W5WyyvaAzOLBMmI3RdBMemy-a48d_T5v5wqcPYZXJGXuNlA5uKzt7BFT9E2X3xLON9vQkLGGCX6oAYL1ajzHkgsGVawsCqczULhpQ/s320/Copy+of+IMG_4132.JPG" /> <p align="center">"Dream Team" </p>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-35731646887166123442009-10-30T19:28:00.000-07:002009-10-30T19:32:28.926-07:00ประเทศไทยในกรรมการมรดกโลกกับฉากต่อไปที่พระวิหารก่อนอื่นคงต้องขอแสดงความยินดีกับพ่อแม่พี่น้องชาวไทย ที่ ดร.โสมสุดา ลียะวณิช รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนจากประเทศไทยของเราได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการมรดกโลก ๒๑ ชาติ ในการเลือกตั้งคณะกรรมการมรดกโลกที่ว่างลงตามวาระ ๑๒ ตำแหน่ง ในโอกาสของการประชุมที่องค์การยูเนสโก ปารีส ที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่อาจจะกล่าวได้ว่าเหนือความคาดหมาย เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ยังตึงเครียดอยู่จากกรณีของปราสาทพระวิหาร ที่คณะกรรมการมรดกโลกชุดก่อนได้มีมติให้บรรจุในบัญชีมรดกโลกทางวัฒนธรรมไปเรียบร้อยแล้วในฐานะมรดกของกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว ตั้งแต่การประชุมที่เมืองควิเบค แคนาดาเมื่อปีที่แล้ว โดยไม่สนใจข้อมูลและข้อโต้แย้งของคณะผู้แทนไทยซึ่งขณะนั้นเข้าประชุมด้วยฐานะที่เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ อีกทั้งในส่วนของอิโคโมสสากลซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาของคณะกรรมการมรดกโลกในการประเมินเอกสารที่นำเสนอว่าแหล่งนั้นๆมีคุณค่าและมาตรการในการปกป้องคุ้มครองครบถ้วนสมควรที่จะนำเข้าวาระให้คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาตัดสินให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมหรือไม่ ก็ยังไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักกับรายงานข้อโต้แย้งการประเมินและแผนการบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารในเขตประเทศไทยที่จัดทำโดยอิโคโมสไทย ทั้งที่มีถูกต้องตามหลักวิชาการและข้อเท็จจริงที่ไม่บิดเบี้ยวเพื่อประโยชน์ทางการเมือง<br /><br />จนมาถึงการประชุมที่เมืองเซวีย่า สเปนในปีนี้ ซึ่งตามวาระกัมพูชาจะต้องรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการกำหนดขอบเขตพื้นที่กันชน และ พื้นที่การจัดการร่วม ตามที่ให้สัญลักษณ์ไว้ว่า N2 และ N3 แต่ยังไม่มีขอบเขต (เพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะล่วงล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ของไทยแม้ว่ากัมพูชาจะยืนยันว่าไม่เคยยอมรับเรื่องปัญหาพื้นที่ทับซ้อน) และเรื่องการจัดตั้ง ICC คณะกรรมการร่วมนานาชาติที่จะมาช่วยกันดูแลมรดกโลกพระวิหารนี้ ที่ขอให้เชิญไทยเข้าร่วมด้วย ในเมื่อยังไม่มีการเจรจาใดๆกับประเทศไทยในเรื่องนี้เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมสำหรับทั้งฝ่ายไทย กัมพูชา และเพื่อการอนุรักษ์โบราณสถานเอง แต่กลับใช้เกมการเมืองในรูปแบบต่างๆ ก่อให้เกิดความตึงเครียด การเผชิญหน้า จนถึงการปะทะกันทั้งระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา และในส่วนคนไทยด้วยกันเอง จึงไม่มีอะไรไปรายงานแบบเปิดเผย (เมื่อเรายังไม่ได้เป็นกรรมการมรดกโลกก็ไม่รู้ว่ากัมพูชาไปรายงานว่าอย่างไร) แต่ก็ได้รับการผ่อนผันให้เป็นกรณีพิเศษอย่างเคย ในกรณีของแผนบริหารจัดการของปราสาทพระวิหารที่จะต้องส่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ก็อาจจะเช่นเคย คือได้รับการผ่อนผัน เมื่อยังเจรจากับไทยไม่ได้และไม่สามารถเปิดเผยแผนบริหารจัดการที่มีปัญหาอย่างเป็นทางการ<br /><br />ตั้งแต่ได้ทราบว่าจะมีการเลือกตั้งกรรมการมรดกโลก โดยที่มีผู้แทนของกัมพูชาเข้าเสนอตัวด้วย จากประสบการณ์ที่ผมได้รับเกี่ยวกับเรื่องขององค์กรระหว่างประเทศในช่วงที่ผ่านมานี้ ทำให้คาดได้ว่าเขานอนมาแน่ และเมื่อได้เข้าไปเป็นหนึ่งในกรรมการผู้พิจารณาเรื่องราวของมรดกโลกที่รวมถึงพระวิหารที่ยังค้างคาอยู่ด้วยนี้ ก็ชัดเจนว่าความเอนเอียงในประชาคมโลกที่มีอยู่แล้ว ก็คงจะไม่มีอะไรยับยั้งได้อีกต่อไป และคงมีผลโดยตรงกับสถานการณ์ทางการเมืองและความมั่นคงในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กว่าเราจะตัดสินใจได้ว่าจะส่งใครลงสนามแข่งขัน เขาก็ได้หาเสียงล่วงหน้าเราไปนานแล้ว ผมเห็นด้วยกับท่านธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ที่กล่าวไว้ในวันแถลงข่าวว่า “ดีใจมากๆที่ได้ทั้งสองประเทศ” ท่านยังได้เล่าให้ฟังอีกว่า ความจริงเสียงส่วนใหญ่เขาเห็นว่าไม่อยากจะให้เป็นกรรมการทั้งสองประเทศ เพราะไม่ต้องการเติมความขัดแย้งให้มากขึ้น (หากได้เพียงคนใดคนหนึ่ง) แต่ในที่สุดแนวคิดที่ว่า ปัญหาทั้งหลายแท้จริงก็เกิดจากคณะกรรมการมรดกโลกนี้ จึงน่าจะได้แก้ไขด้วยการที่ทั้งไทยและกัมพูชามาตกลงกันภายในคณะกรรมการมรดกโลก อาจเป็นแรงผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายได้รับเลือกทั้งคู่ หลายคนอาจกังวลใจและน้อยใจที่เราได้คะแนนน้อยกว่ากัมพูชา ๑ คะแนน แต่ถ้านึกถึงเวลาที่เราใช้ในการหาเสียงแล้วได้รับเลือกด้วยคะแนนที่สูงพอที่จะเป็นกรรมการมรดกโลกตั้งแต่รอบแรก (หากได้เสียงสนับสนุนไม่ถึงครึ่งจะต้องเลือกใหม่เป็นรอบสอง) เป็นถึงที่ ๓ จาก ๑๐ ตำแหน่งที่ต้องการเช่นนี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นความสามารถของทีมงานอย่างแท้จริง และเมื่อได้เป็นกรรมการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสวิสที่ได้คะแนนมากที่สุดหรือ เอมิเรตส์ที่เข้ามาแบบไม่มีคู่แข่ง เพราะเสนอตัวในฐานะประเทศที่ยังไม่มีแหล่งมรดกโลกเลยเพียงชาติเดียว ไม่ต้องมีคะแนน ทุกชาติต่างก็มีหนึ่งเสียงเท่ากัน<br /><br />นอกจากหนึ่งเสียงที่จะช่วยในการผลักดันให้มรดกที่มีคุณค่าของไทยได้รับการเชิดชูในฐานะมรดกโลกให้มากขึ้น และสนับสนุนให้สองแหล่งที่อยู่ใน Tentative list ของเราได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกต่อไปแล้ว เราจะสามารถคาดหวังอะไรได้บ้างจากผู้แทนประเทศไทยของเราท่านนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของปราสาทพระวิหาร ที่เราได้เคยโต้แย้งทั้งในเรื่องความถูกต้องทางวิชาการ และ การบริหารจัดการเพื่อการอนุรักษ์อย่างเหมาะสมของปราสาทที่มีปัญหาเรื่องเขตแดนระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง จากนี้ไปถือว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการมรดกโลกที่มีหน้าที่ในการพิจารณากำหนดแนวทางในการปกป้องคุ้มครองมรดกโลกทั้งทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญา ตรงกับวิสัยทัศน์ประเทศไทยสำหรับมรดกโลกที่ ดร.โสมสุดาประกาศเป็นเจตนารมย์ในเอกสารที่ใช้ในการหาเสียง ตั้งแต่ข้อแรกที่ว่า<br /><br />“ประเทศไทยตระหนักถึงวัตถุประสงค์หลักของการจัดทำบัญชีมรดกโลกเพื่อปกป้องคุ้มครองมรดกและคุณค่าที่เป็นสากล อันเป็นประโยชน์โดยรวมของประชาคมโลก ไม่ใช่การประกวดเพื่อชื่อเสียง และกอบโกยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว แต่ต้องเน้นการรักษาคุณภาพของข้อมูลทางวิชาการ และมาตรการในการดูแลรักษา ...กล่าวคือจะต้องมุ่งรักษาผลประโยชน์ของมรดกเพื่อการใช้สอยอย่างยั่งยืน(Sustainable Use)มากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมือง” ประการต่อมาคือ “ความเป็นธรรมและเสมอภาค สนับสนุนให้มีแหล่งมรดกโลกอย่างครบถ้วนและทั่วถึงเพื่อเป็นตัวแทนของทุกอารยธรรมในโลก ไม่จำกัดเฉพาะแต่มรดกสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่โต แต่ให้ครอบคลุมถึงตัวแทนของความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ คุณค่าทางจิตใจ และความผูกพันของกลุ่มวัฒนธรรม” และประการสุดท้ายได้แก่ “ความปรารถนาในความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างชาติต่างๆ และสันติภาพในโลกจากการประสานงานร่วมมือในระหว่างเครือข่ายของประเทศภาคีสมาชิกที่มีลักษณะของมรดกร่วมกัน...”<br /><br />ความคาดหวังทั้งหมดจึงมาอยู่ที่ผู้แทนของเรา ที่ถือเป็นคนไทยคนที่สองที่ได้รับเกียรตินี้หลังจากที่ ศ. ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ได้เคยฝากฝีมือไว้จนเป็นที่ประจักษ์ในระดับโลกมาแล้ว เมื่อโอกาสมาถึง ให้ประเทศไทยได้แสดงบทบาทอย่างเต็มที่อีกครั้งเช่นนี้ นอกเหนือจากความรู้ความสามารถทางวิชาการด้านโบราณคดีที่ได้ร่ำเรียนมาของ ดร.โสมสุดา ในด้านการบริหารเมื่อครั้งที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักโบราณคดี ซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการอิโคโมสไทย ตั้งแต่ยังเป็นองค์กรที่ไม่มีกิจกรรมใดๆเพื่อการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมอย่างเป็นรูปธรรมนั้น ท่านได้มองการณ์ไกลว่าควรจะต้องมีการพัฒนาองค์กรเอกชนนี้ขึ้นมาเพื่อสานต่องานที่กรมศิลปากรดูแลอยู่ ตามเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญใหม่ และเพื่อการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน จึงได้ริเริ่มให้มีการจัดตั้งสำนักงานของอิโคโมสไทย จัดจ้างเจ้าหน้าที่ประจำขึ้น พร้อมการสร้างเครือข่ายดังที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ โดยบุคลิกลักษณะ ความรู้และความสามารถในการบริหารของท่าน น่าจะเหมาะสมอย่างยิ่งในสถานการณ์แห่งความขัดแย้งเช่นนี้ ด้วยการวางตัวอย่างเหมาะสม ยึดมั่นในหลักการทางวิชาการ พยายามผลักดันการเมืองที่เข้ามาแทรกแซงให้ออกไป ร่วมตรวจสอบการบ้านที่กัมพูชาทำมาส่งด้วยเหตุและผลอย่างตรงไปตรงมา นำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องเป็นธรรมให้ที่ประชุมรับทราบ ไม่ได้มุ่งจะเอาแต่ผลประโยชน์ของไทยแต่เพียงอย่างเดียว จากการวางตัวให้เป็นที่เคารพนับถือของท่านในระดับสากล ก็หวังว่าในภาคส่วนอื่นของเราจะได้เข้าใจและมาช่วยกันสนับสนุนโดยธรรมาภิบาล เพื่อการประกาศคุณค่าและปกป้องคุ้มครองมรดกของโลกร่วมกันอย่างแท้จริง และผลประโยชน์ก็จะตามมาพร้อมด้วยมิตรภาพของคนทั้งสองแผ่นดินอย่างยั่งยืนตลอดไปVasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-24166064005882270302009-10-30T19:07:00.000-07:002009-10-30T19:26:33.170-07:00วิสัยทัศน์ของประเทศไทยเกี่ยวกับมรดกโลก Thailand’s Vision on World Heritage<div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgp6euZCgtJJs5fUvgVEDVKSN9p5LX5WkLJdUd6kLkjUoTNR95HI76QX31C0dbS-_JGZGWhKhrtWUHjaOboN0diRkAex59_SIEYRz45xYXzvEWHTem-GKXM0-nFJ-_Tk7Vtm_dbbiX291I/s1600-h/p+jaeng.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5398582389493239250" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 308px; CURSOR: hand; HEIGHT: 323px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgp6euZCgtJJs5fUvgVEDVKSN9p5LX5WkLJdUd6kLkjUoTNR95HI76QX31C0dbS-_JGZGWhKhrtWUHjaOboN0diRkAex59_SIEYRz45xYXzvEWHTem-GKXM0-nFJ-_Tk7Vtm_dbbiX291I/s400/p+jaeng.jpg" border="0" /></a><br /><div>จากเอกสารแนะนำตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นกรรมการมรดกโลก ของ ดร.โสมสุดา ลียะวณิช</div>Dr. Somsuda Leyavanija Thailand's Candidacy for the election of World Heritage Committee<br /><br /><div></div><div>1. ประเทศไทยตระหนักถึงวัตถุประสงค์หลักของ “Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage” ที่จัดทำบัญชีมรดกโลกขึ้นเพื่อปกป้องคุ้มครองตัวมรดกและคุณค่าที่เป็นสากลทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ อันเป็นประโยชน์โดยรวมของประชาคมโลก ไม่ใช่การประกวดชิงตำแหน่งเพื่อชื่อเสียง และกอบโกยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว จึงขอเน้นย้ำความจำเป็นของการกำหนดให้มีแผนการจัดการ มาตรการในการปกป้องคุ้มครองแหล่งมรดก การเตรียมความพร้อมสำหรับความเสี่ยง ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นประเด็นสำคัญ รวมทั้งการรักษาคุณภาพของข้อมูลทางวิชาการที่สนับสนุนคุณค่า(OUV) ความเป็นของแท้(Authenticity) และบูรณภาพ(Integrity)ของมรดก กล่าวคือจะต้องมุ่งรักษาผลประโยชน์ของมรดกเพื่อการใช้สอยอย่างยั่งยืน(Sustainable Use)มากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมือง<br /><br />2. ประเทศไทยได้เล็งเห็นว่ายังมีอีกหลายประเทศที่ยังไม่มีแหล่งมรดกโลกแม้แต่แห่งเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จะสามารถเป็นตัวแทนทางวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆในการส่งผ่านต่อไปยังรุ่นต่อไปได้ ขณะที่ในหลายประเทศกลับมีมรดกโลกแล้วเป็นจำนวนมาก เพื่อความเป็นธรรมและเสมอภาคจึงขอสนับสนุนให้มีแหล่งมรดกโลกอย่างครบถ้วนและทั่วถึงเพื่อเป็นตัวแทนของทุกอารยธรรมในโลก ไม่จำกัดเฉพาะแต่มรดกสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่โต อันถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติทางกายภาพที่จับต้องได้ แต่ให้ครอบคลุมถึงตัวแทนของความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ คุณค่าทางจิตใจ และความผูกพันของกลุ่มวัฒนธรรม โดยคุณค่าที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Value) นี้ถือได้ว่าคือความหมายที่แท้จริงของมรดก ในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณและองค์ความรู้ในการศึกษาเพื่อจัดทำเอกสารนำเสนอ น่าจะมีการตั้งกองทุนพิเศษเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะในลักษณะการจัดการที่สมดุล (Balanced Management)<br /><br />3. ประเทศไทยปรารถนาความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างชาติต่างๆ และสันติภาพในโลก โดยอาจเกิดขึ้นได้จากการประสานงานร่วมมือในระหว่างเครือข่ายของประเทศภาคีสมาชิกที่มีลักษณะของมรดกร่วมกัน ประกอบด้วย วัฒนธรรม/ศิลปกรรม ประเภท วัสดุ เทคนิค ลักษณะของที่ตั้ง ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ หรือสภาพปัญหา ความเสี่ยงร่วม ขอสนับสนุนการรวมกลุ่มกันเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ ความคิดเห็น เพื่อประโยชน์ร่วมกันในการอนุรักษ์และบริหารจัดการมรดกโลกของแต่ละกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งน่าจะเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับกรอบการทำงานตามโครงการ Global Strategy โดยประเทศไทยมีความพร้อมสามารถทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการปรึกษาหารือทั้งในด้านงบประมาณและเทคนิค </div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5398583288119403618" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 266px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrXMrsQSCry2DfP2oy1UpQtTK9RxDdMrZPCsL0y3ftnbwPrfSm311f3tpd2IbKzJ9vpnkoOKgH1mM4a49MJjrPCuFSMHXrh-f2pzRAAyDuw1ZYMRO5n7n6gGPUl44ErIYan9ix3EcqOSo/s320/h002.jpg" border="0" /></div><div><br />1. Thailand has perceived the core objective of the “Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage” that the listing of World Heritage Sites has been employed as a tool for protection of the heritage and their universal values, both on cultural and natural aspects, for the benefits of the world on the whole, not aiming on competition for fame and economic benefits from tourism. Therefore, the necessity of having management plan, protective measures for the heritage sites, risk preparedness, and participation by all involving parties are important issues to be emphasized. Apart from these, reliability and accuracy of scientific data and information which enhances the outstanding universal value, authenticity and integrity of the heritage must also be taken into account. In conclusion, the goal is <strong>to preserve the benefits of the heritage for sustainable use rather than economic and political benefits</strong>.<br /><br />2. Thailand has observed that there are still many countries that have not had any World Heritage Site listed, especially in the case of Cultural World Heritage Sites which are representatives of the country’s culture that can be handed down to future generations, whereas there are several countries that have already had a large number of World Heritage Sites. Therefore, for <strong>fairness and equality</strong>, we support an inclusive listing of World Heritage Sites that represents all civilizations of the world, not to be limited only to large edifices that are rich in physical, tangible values, but also to include those which are representatives of historical continuity, spiritual values and inter-cultural relationships. These intangible values should be considered the true meaning of the heritage. On the aspects of budget and knowledge base for studying the preparation of proposal documents, there should be a special fund for this specific mission in the balanced management approach.<br /><br />3. Thailand wishes for international friendship and peace of the world, which could be obtained via <strong>networking collaboration and cooperation</strong> between member countries that have similar characteristics of heritage comprising culture/art, types of heritage, materials, techniques, site features, topography, climates, or mutual problems and risks. We support the forming of groups for exchanging experiences, knowledge, and opinions for mutual benefits in conservation and management of World Heritage Sites of each group in the highest possible efficiency, which should be in accordance with the framework of Global Strategy Project. Thailand is ready to serve as a centre for such discussions, both in terms of budget and techniques. </div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-412188371634160272009-09-25T10:11:00.000-07:002009-09-25T10:22:45.952-07:00ศาลฎีกา คริสตจักรเชียงราย มาจนถึง บ้านวินด์เซอร์ และพาทยะโกศล<div><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 321px; DISPLAY: block; HEIGHT: 227px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5385455200423162066" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhS0r3xjNI6tUI5OZB1yJjRLZq5KBOPlehZkYTS3jdqYBJXC3A2IzBY93pwza6zwPjdYgfpNTYweI-S1ps1CBSGXl-lOkmwZdcrpqX0R2JeFWorDhxE5Sw2MXn_EzP3OrRX2l7Bg3didJA/s320/201008_outlook04.jpg" /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5_scIZnzcPhQivI5m1fv4FueNeQe0lzOBp89XAUIgp6n2VAf6qMi_CSN33eMyXd_kd3JYGzOownguVCO8kReYTynyHUaKDxvLyo0_HFiIGT9SzYrP00ZFUD8fSg-PgTjX-tYT9Ez-Zr4/s1600-h/IMG_3260.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5385454755374364402" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5_scIZnzcPhQivI5m1fv4FueNeQe0lzOBp89XAUIgp6n2VAf6qMi_CSN33eMyXd_kd3JYGzOownguVCO8kReYTynyHUaKDxvLyo0_HFiIGT9SzYrP00ZFUD8fSg-PgTjX-tYT9Ez-Zr4/s320/IMG_3260.JPG" /></a> อาคารศาลยุติธรรม และศาลฎีกา ที่กำลังจะถูกรื้อแล้วสร้างใหม่ ในพื้นที่ประวัติศาสตร์<br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJ8MxbFrHASmH3ZYyjXjtVdHD1rNWCXZFtLuJ5uUR6l1tbArt7loRLTR2Sfeo4GNZQH8HpZ8mXQSIRb6jps5-dNomCN3_Oi0tcu-pm3HU5b5rYXfzq1Yms2WgsqXN5qxexEbPct1Z5wVc/s1600-h/Copy+of+IMG_4813.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 167px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5385454262137559986" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJ8MxbFrHASmH3ZYyjXjtVdHD1rNWCXZFtLuJ5uUR6l1tbArt7loRLTR2Sfeo4GNZQH8HpZ8mXQSIRb6jps5-dNomCN3_Oi0tcu-pm3HU5b5rYXfzq1Yms2WgsqXN5qxexEbPct1Z5wVc/s320/Copy+of+IMG_4813.JPG" /></a> ในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ เป็นวันนัดหมายที่นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร ได้อนุญาตให้ผู้แทนจากสามสมาคมเครือข่ายด้านการอนุรักษ์ ซึ่งประกอบด้วย นางจุฬา สุดบรรทัด นายกสมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม (SCONTE) นายเดโช สวนานนท์ นายกสมาคมอิโคโมสไทย และ ดร.วันชัย มงคลประดิษฐ ประธานกรรมาธิการอนุรักษ์ฯ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วย นางภารนี สวัสดิรักษ์ จากสมาคมอิโคโมสไทย นายวสุ โปษยะนันทน์ ประธานกรรมาธิการอนุรักษ์ ฯ ด้านสถาปัตยกรรมไทยประเพณี และนางปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูส ได้เข้าพบตามที่สมาคมฯ ของเราเป็นผู้ทำจดหมายไปร้องขอ ด้วยตั้งใจจะหารือกันในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของมรดกวัฒนธรรมในกรณีต่างๆ ที่ทั้งสามสมาคมได้มีโอกาสได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง<br /><br />โดยมีประเด็นหลักอยู่ที่อาคารศาลยุติธรรมและศาลฎีกาซึ่งสมาคมฯได้ประกาศไว้ทั้งการเป็นอาคารควรค่าแห่งการอนุรักษ์ (Heritage @ Risk) และได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นในปีล่าสุด ด้วยเป้าหมายที่จะแสดงให้สาธารณชนและผู้ที่มีความรับผิดชอบ ได้เห็นว่าอาคารศาลยุติธรรมและศาลฎีกานี้เป็นสถาปัตยกรรมที่คุณค่าความสำคัญ ควรที่จะเก็บรักษาไว้ โดยนัยที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการที่จะรื้อกลุ่มอาคารดังกล่าวลงเพื่อสร้างใหม่ทั้งหมด ด้วยเพียงเหตุผลที่ว่า เป็นอาคารที่ไม่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ไม่เหมาะกับพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ แล้วสร้างอาคารใหม่ขนาดใหญ่เต็มพื้นที่โดยนำเอาองค์ประกอบของงานสถาปัตยกรรมไทยประเพณี(อย่างวัดหรือวัง)ขึ้นแทนที่<br /><br />เนื่องจากกรรมาธิการอนุรักษ์ฯ มีความเห็นว่า อาคารศาลยุติธรรมและศาลฎีกานี้มีคุณค่า ไม่เฉพาะแต่ในความเป็นสถานที่สำคัญของประวัติศาสตร์ทางการศาล แต่ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรม Modern Architecture ที่แสดงถึงการพัฒนาอย่างตะวันตกของอาคารหลังแรกและแบบโมเดิร์นที่ผสมผสานลักษณะไทย ซึ่งต้องการแสดงตัวตนของเราควบคู่ไปกับความทันสมัยของอาคารที่สร้างถัดมา ได้ทำให้อาคารแห่งนี้เป็นตัวแทนของรูปแบบสถาปัตยกรรมในช่วงเวลาที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่เป็นสถาบันที่มีเพียงหนึ่งเดียวในประเทศ แม้เบื้องต้นจะยังไม่ชัดเจนว่าเข้าข่ายเป็นโบราณสถานหรือไม่ แต่การตัดสินใจที่จะรื้อลงทั้งหมดถือเป็นสิ่งที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง<br /><br />นอกจากนี้ยังมีอีกประเด็นที่สำคัญได้แก่การที่เป็นโครงการก่อสร้างในบริเวณใจกลางพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสนามหลวง ศาลหลักเมือง หรือคลองคูเมืองเดิม ซึ่งล้วนเป็นโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้ว และที่สำคัญที่สุดคืออยู่ใกล้กับวัดพระแก้วและพระบรมมหาราชวัง โครงการที่มิได้มีการหารือกับกรมศิลปากรในเรื่องผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับโบราณสถาน และมีการยกเว้นไม่ถือปฏิบัติตามเกณฑ์ควบคุมความสูงของอาคารที่อาจไปบดบังมรดกวัฒนธรรมที่เป็นสัญลักษณ์ของชาติไทยได้ จึงเป็นเรื่องที่น่าข้องใจอย่างยิ่ง<br /><br />ในวันนี้กรมศิลปากรจึงเป็นความหวังที่จะช่วยแก้ข้อข้องใจนี้เกี่ยวกับคุณค่าและความเป็นโบราณสถานของอาคารหลังจากที่ทั้งสมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อมและสมาคมอิโคโมสไทย ได้จัดการเสวนาและมีข้อสรุปที่ระบุถึงคุณค่าที่ต้องรักษาไว้ของอาคารนี้อย่างชัดเจน โดยได้ทำหนังสือแจ้งต่อประธานศาลฎีกาไปแล้ว ซึ่งจากการพบปะกันในวันนี้ก็ได้รับทราบว่า กรมศิลปากรได้พิจารณาแล้วเห็นว่า อาคารศาลยุติธรรมมีคุณค่า และลักษณะครบถ้วนตามคำนิยามของพระราชบัญญัติโบราณสถานฯ จึงจะได้แจ้งไปยังประธานศาลฎีกาว่า อาคารนี้เป็นโบราณสถานของชาติ ที่ยังมิได้ขึ้นทะเบียน ถือว่าได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย การจะดำเนินการใดใดต้องแจ้งต่อกรมศิลปากร นิติกรของกรมศิลปากรยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตามรัฐธรรมนูญในปัจจุบันที่ประชาชนชาวไทยมีหน้าที่อนุรักษ์และสืบสานมรดกวัฒนธรรมของตน ประชาชนทุกคนจึงมีสิทธิ์ที่จะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในกรณีนี้ได้<br /><br />ความจริงสมาคมสถาปนิกสยามฯก็ได้มีความพยายามตั้งคำถามนี้กับสังคมมาตั้งแต่การจัดเสวนาของกรรมาธิการอนุรักษ์ในงานสถาปนิก ๕๑ สืบเนื่องจากโครงการประกวดจัดทำข้อมูลอาคารควรค่าแก่การอนุรักษ์ และมีกิจกรรมที่แสดงถึงความเห็นคัดค้านการรื้ออาคารศาลฎีกาและก่อสร้างใหม่มาโดยตลอด แต่กระนั้นก็ยังมีคำถามจากกรมศิลปากรย้อนกลับมาบ้างว่า ในเมื่อสมาคมฯไม่เห็นด้วยกับโครงการ และสถาปนิกผู้ออกแบบอาคารใหม่ก็เป็นสมาชิกของสมาคมฯ เหตุใดจึงไม่มีการดำเนินการภายในสมาคมฯเองให้ตรงจุด เหตุใดจึงต้องอ้างว่าเพราะเกรงใจจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งให้บริการออกแบบ ในขณะที่อธิบดีกรมศิลปากรท่านนี้ก็เป็นสถาปนิกที่จบการศึกษาจากจุฬาฯ จึงไม่น่าที่จะนำเรื่องของสถาบันมาเกี่ยวข้องกับความถูกผิด<br /><br />คริสตจักรที่ ๑ เชียงราย เป็นกรณีต่อมาที่เริ่มต้นจากการที่สมาคมฯได้รับแจ้งมาจากโครงการอาคารควรค่าแก่การอนุรักษ์ เรื่องเกิดจากการที่ทางคริสตจักรมีโครงการจะฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปีของการก่อตั้งด้วยการรื้ออาคารที่กำลังจะมีอายุครบร้อยปีนั้นแล้วสร้างอาคารหลังใหม่ให้ใหญ่โต แทนหลังเดิมที่ทรุดโทรมโดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการซ่อมแซมเสริมโครงสร้างที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาช่าง ซึ่งตรงนี้ก็เห็นได้ว่าเป็นอีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่จะต้องมีการควบคุมทางวิชาชีพในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ที่ไม่ควรจำกัดเฉพาะงานก่อสร้างใหม่ และไม่ควรมีการยกเว้นการตรวจสอบสำหรับอาคารใดใด ไม่ว่าจะเป็นอาคารของรัฐหรือศาสนสถาน ในส่วนที่เกี่ยวกับกรมศิลปากร ก็ได้รับข้อมูลว่าขณะนี้ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรเชียงใหม่ซึ่งเป็นผู้ดูแลพื้นที่ถูกทางคริสตจักรฟ้องว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยการมาชี้ชัดว่าอาคารคริสตจักรมีคุณค่าเข้าข่ายที่จะเป็นโบราณสถาน ในระหว่างที่เป็นความกันนี้คาดว่าคงจะยังไม่มีการรื้ออาคารโบราณเกิดขึ้น แม้จะมั่นใจว่าจะไม่แพ้คดีแต่ทางกรมศิลปากรก็ไม่ปรารถนาที่จะให้มีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น อย่างเฉพาะในกรณีของวัดกัลยาณ์ฯ ขณะนี้กรมศิลปากรก็เป็นทั้งโจทก์และจำเลยในหลายคดี อยู่ตรงกลางระหว่างวัดและชุมชน<br /><br />ในส่วนพื้นที่กุฎีจีนซึ่งต่อเนื่องกับวัดกัลยาณ์ฯ ก็มีกรณีของบ้านวินด์เซอร์และบ้านพาทยะโกศล อาคารทั้งสองหลังถือว่ามีคุณค่าทั้งในทางประวัติศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญและด้านสถาปัตยกรรมการตกแต่งที่อาจจะมีในระดับที่แตกต่างกัน แต่ที่มีร่วมกันคือความเสี่ยงที่จะเสื่อมสลายไป เจ้าของบ้านไม่ใช่เจ้าของที่ดิน และเจ้าของที่ดินไม่เห็นคุณค่า แม้ว่ากรมศิลปากรจะเห็นและพยายามที่จะเข้าไปสำรวจจัดทำโครงการซ่อมแซม แต่ด้วยความขัดแย้งต่างๆในอดีตก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เมื่อสมาคมฯมีโอกาสเข้าไปสำรวจจัดทำข้อมูลและเก็บข้อมูลสถาปัตยกรรมแบบ Vernadoc ที่บ้านวินเซอร์ และเป็นตัวกลางที่จะช่วยในการขึ้นทะเบียนโบราณสถานที่ต้องการคำยินยอมจากโบสถ์ซางตาครู๊สเจ้าของที่ดิน ส่วนบ้านพาทยะโกศลคงจะต้องรอดูคดีต่างๆของวัดกัลยาณ์กันต่อไป<br /><br />การที่สมาคมทั้งสามได้มีโอกาสได้เข้าพบอธิบดีและข้าราชการในระดับสูงของกรมศิลปากรในครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของความร่วมมือ การประสานงานในลักษณะของเครือข่ายการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมกันต่อไปในอนาคต ซึ่งจะเป็นผลดีอย่างเต็มที่ต่อมรดกของชาติโดยพวกเราจะช่วยกันสอดส่องดูแล รักษาให้คงอยู่ต่อไป ตามภาระหน้าที่ บทบาทและความถนัดของแต่ละฝ่าย ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน</div></div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-57393785887093969792009-08-23T00:16:00.000-07:002009-08-23T00:55:20.081-07:00รายการประกอบแบบบูรณะ หอพระไตรปิฎกคณะ ๕ วัดเทพธิดารามวรวิหาร<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPbHccxob4aIt7v0PKU5bsAIQWDCK5of8olhL-B-_mMI6xyfWLkNqHRw-KX_6oLUA4O1Sfqf28ret71WfcG5g3qzX6LiwRxMMkOqJyQmvVxnmnPFSm1NW-rj51Bb-UGfIGtdM1RyRLnik/s1600-h/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5373064521344903538" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjPbHccxob4aIt7v0PKU5bsAIQWDCK5of8olhL-B-_mMI6xyfWLkNqHRw-KX_6oLUA4O1Sfqf28ret71WfcG5g3qzX6LiwRxMMkOqJyQmvVxnmnPFSm1NW-rj51Bb-UGfIGtdM1RyRLnik/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A3.JPG" /></a>ในโครงการอนุรักษ์หอพระไตรปิฎก วัดเทพธิดารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร<br />คณะกรรมาธิการอนุรักษ์ ด้านสถาปัตยกรรมไทยประเพณี สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์<br />พ.ศ. ๒๕๕๑ – ๒๕๕๓<br /><br />ที่ปรึกษาโครงการ<br />๑. ศาสตราจารย์กิตติคุณ หม่อมราชวงศ์แน่งน้อย ศักดิ์ศรี<br />๒. พลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น<br />๓. รองศาสตราจารย์ ดร.ประสงค์ เอี่ยมอนันต์<br />๔. รองศาสตราจารย์ สมคิด จิระทัศนกุล<br />คณะทำงานโครงการ<br />๑. ดร.ศิริชัย หวังเจริญตระกูล<br />๒. คณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />๓. นายไพรัช เล้าประเสริฐ<br />๔. ดร.พรธรรม ธรรมวิมล<br />๕. นายวสุ โปษยะนันทน์<br />๖. นายจมร ปรปักษ์ประลัย<br />๗. นายวทัญญู เทพหัตถี<br />๘. นางสาวมนัชญา วาจก์วิศุทธิ์<br />๙. นายสุรยุทธ วิริยะดำรงค์<br />๑๐. นางสาวหัทยา สิริพัฒนกุล<br />๑๑. นายภาณุวัตร เลือดไทย<br />๑๒. นายจาริต เดชะคุปต์<br />๑๓. นายพีระพัฒน์ สำราญ<br />๑๔. นายลีนวัตร ธีระพงษ์รามกุล<br />๑๕. นางสาววราภรณ์ ไทยานันท์ เลขานุการ<br /><br />รูปแบบสถาปัตยกรรมและสภาพในปัจจุบัน<br />อาคารนี้มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางอาคารไปตามแนวทิศเหนือ-ใต้ เป็นอาคารสูง ๒ ชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุนใช้สำหรับเก็บของ ชั้นบนเป็นหอพระไตรปิฎก บันไดทางขึ้นสู่ชั้นบนของอาคารตั้งอยู่ภายนอกอาคารทางด้านทิศเหนือ<br />การวางผังของชั้นบนให้ความสำคัญกับห้องเก็บพระไตรปิฎกตั้งอยู่กึ่งกลางอาคาร ล้อมรอบด้วยระเบียงทางเดิน โดยห้องเก็บพระไตรปิฎกมีรูปแบบผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางตามแนวยาวของอาคาร ประตูทางเข้าอยู่ด้านทิศเหนือ ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกมีหน้าต่างด้านละ ๒ บาน ส่วนผนังด้านทิศใต้มีหน้าต่าง ๑ บานกึ่งกลางแนวผนัง<br />ปัจจุบัน ทางวัดได้ต่อเติมผนังคอนกรีตบล็อค ทับลงบนราวพนักระเบียงทางเดินด้านทิศตะวันตกของหอพระไตรปิฎกยาวตลอดแนว พร้อมด้วยการต่อหลังคาคลุมพื้นที่ด้านข้างอาคารและกั้นผนังปิดทางทิศเหนือเพื่อทำเป็นห้องเก็บของ<br />รูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นหอไตรประเภทอาคารเครื่องก่อ ผนังก่ออิฐฉาบปูนทรงไทย มีโครงสร้างแบบกำแพงรับน้ำหนัก (Wall Bearing) หลังคาเป็นทรงจั่ว แบ่งเป็น ๒ ตับ มีหลังคากันสาดโดยรอบ มุงด้วยกระเบื้องเคลือบดินเผาสีส้ม สีเขียว และสีเหลือง ในขณะที่หลังคาด้านสกัดเป็นกระเบื้องสีเขียวและสีเหลือง ทางทิศเหนือยังมีการต่อเติมหลังคากันสาดไม้ เพื่อกันแดดฝนให้บันไดทางขึ้น มุงหลังคาด้วยสังกะสีสีแดงประดับเชิงชายไม้ฉลุ ส่วนหลังคาเป็นเครื่องไม้ ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และนาคสะดุ้งประดับกระจก หน้าบันไม้ปิดทองขุดลายประดับกระจก เป็นรูปพันธุ์พฤกษา ส่วนด้านล่างหน้ากระดานฐานพระมีการประดับตกแต่งด้วยถ้วยชามกระเบื้องจีนลายครามบนผนังปูน<br />ส่วนห้องเก็บพระไตรปิฎก ฝ้าเพดานภายในเป็นไม้กระดานตีชิดทาสีน้ำมันสีฟ้าอ่อน ตีกรอบรอบด้วยไม้มอบฝ้าเพดานทาสีแดง พื้นภายในเป็นพื้นไม้กระดานปิดทับด้วยเสื่อน้ำมัน ผนังก่ออิฐฉาบปูนทาสีขาว ประตูและหน้าต่างเป็นแบบกรอบซุ้ม ช่องบานเปิดคู่ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าลักษณะตอนบนสอบเข้า บานประตูทำด้วยไม้ประดับตกแต่งด้วยลายรดน้ำรูปทวารบาลยืนบนหลังสิงห์ พื้นหลังเป็นกระหนกเปลวลายเถา บานหน้าต่างทำด้วยไม้ประดับตกแต่งด้วยลายรดน้ำทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ลายก้านแย่ง ทั้งกรอบประตูและกรอบหน้าต่างประดับด้วยปูนปั้นผูกลายด้วยดอกพุดตานโดยรอบ มีการติดตั้งเหล็กดัดเพิ่มเติมบริเวณวงกบหน้าต่างทางด้านในอาคารทุกชุด<br />ส่วนระเบียงชั้นบนโดยรอบห้องเก็บพระไตรปิฎก ลักษณะเป็นระเบียงเปิดโล่ง มีเสาก่อด้วยอิฐรับน้ำหนักจากหลังคาพาไลโดยรอบและพนักระเบียงอยู่ระหว่างแต่ละช่วงเสา รูปแบบเป็นระเบียงปูนกรุกระเบื้องปรุจีน ฝ้าเพดานเป็นไม้กระดานตีชนชิด ทาสีแดง ยึดกับโครงสร้างหลังคาส่วนท้องกลอน พื้นระเบียงเป็นพื้นไม้กระดานที่ในปัจจุบันได้เทปูนปิดทับไว้<br />รอยต่อระหว่างชั้นบนและชั้นล่างของอาคารภายนอกโดยรอบอาคาร ตกแต่งด้วยบัวปูนปั้น ลักษณะเป็นชุดหน้ากระดานบัวหงาย รับเสาและพนักระเบียงชั้นบน<br />บันได ตั้งอยู่ภายนอกอาคารด้านทิศเหนือ ทั้งขั้นบันไดและพนักราวบันไดเป็นงานก่ออิฐฉาบปูน ส่วนพนักบันได มีรูปแบบเดียวกันกับพนักระเบียงชั้นบน คือ เป็นงานก่ออิฐฉาบปูนตกแต่งด้วยบัวปูนปั้นและกระเบื้องปรุจีน<br />ชั้นล่างเป็นห้องโถงใต้ถุนสำหรับเก็บของ มีผนังรับน้ำหนักฉาบปูนทาสีขาวตั้งอยู่แนวเดียวกับผนังชั้นบน ส่วนหน้าต่างเป็นบานไม้ทาสีแดง ตำแหน่งที่ติดตั้งตรงกึ่งกลางแนวช่วงเสา<br />หลังคา กระเบื้องหลังคาชำรุด และบางส่วนสูญหาย สันนิษฐานว่าสืบเนื่องจากโครงหลังคาไม้ชำรุดเสื่อมสภาพ เนื่องจากปรากฏร่องรอยการโก่งตัวของแนวกระเบื้องหลังคาและเชิงกลอน ช่อฟ้าเดิมสูญหาย ๑ ตัว อีกตัวที่เหลืออยู่อยู่ในสภาพชำรุด ใบระกา หางหงส์และตัวลำยองชำรุดหมดสภาพ<br />หน้าบัน งานปิดทองประดับกระจกมัวหมอง พื้นทองหลุดล่อน กระจกสีบางส่วนหลุดหาย แต่ไม้หน้าบันยังอยู่ในสภาพค่อนข้างดี<br />ฝ้าเพดานภายนอก-ภายในและไขราหน้าจั่ว ฝ้าเพดานภายในทั้งหมดและไม้ฝ้าระเบียงอยู่ในสภาพค่อนข้างดี แต่มีการทาสีทับ ส่วนไม้ฝ้าชายคาและฝ้าไขราเปื่อยผุ สีซีดจาง<br />ผนังและเสา ผิวปูนฉาบภายในห้องชั้นบนหลุดล่อนบางส่วน ผิวปูนฉาบเสาภายนอกอาคารชั้นบนตอนล่างจนถึงชั้นล่างหลุดลอกจนเห็นถึงชั้นอิฐแทบทั้งหมด และเนื้ออิฐบางส่วนยังมีสภาพเปื่อยยุ่ยอันเนื่องมาจากปัญหาความชื้น<br />ประตู-หน้าต่าง บานประตูอยู่ในสภาพชำรุด เปิดปิดไม่สะดวก งานลายรดน้ำปิดทองลางเลือนโดยทั่วไป มีส่วนที่ทองหลุดล่อนหายไปจากการใช้งานในหลายจุด ส่วนบานหน้าต่างอยู่ในสภาพชำรุด เปิดปิดไม่สะดวก ลวดลายรดน้ำลางเลือนมีคราบดำปิดลายอยู่เป็นส่วนใหญ่ ลายปูนปั้นประดับกรอบประตูและหน้าต่างชำรุด หลุดร่วงไปเป็นบางส่วน เนื่องจากปัญหาความชื้นและตะปูที่ยึดปูนปั้นขึ้นสนิม ส่งผลให้ปูนปั้นแตกร้าว ผิวทองมัวหมองจึงได้มีการทาสีเหลืองทับไว้<br />พื้น พื้นภายในห้องชั้นบน เป็นพื้นไม้กระดานตีชิด ปัจจุบันถูกปูทับด้วยเสื่อน้ำมันทั้งหมด แต่โครงสร้างพื้นยังอยู่ในสภาพดี สันนิษฐานว่าใช้รอดไม้กลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๖ นิ้วเช่นเดียวกับหอพระไตรปิฎกด้านเหนือ (คณะ ๘) ส่วนพื้นระเบียงชั้นบน มีการเทปูนซีเมนต์ทับลงบนพื้นไม้กระดาน ท้องพื้นไม้และโครงสร้างพื้นไม้เดิมอยู่ในสภาพเปื่อยผุ สีที่ทาไว้ซีดจาง<br />บันไดและพนักระเบียง พื้นขั้นบันไดมีคราบดำ พนักบันไดและพนักระเบียง ปูนฉาบหลุดร่อนเห็นถึงชั้นอิฐ กระเบื้องปรุอยู่ในสภาพสีถลอกหลุดลอกเป็นบางส่วน บันไดขั้นล่างสุดมีปูนซีเมนต์ก่อพอกไว้<br /><br />แนวความคิดในการออกแบบบูรณะ<br />ต้องการรื้อฟื้นรูปแบบดั้งเดิมที่สมบูรณ์ของอาคารหอพระไตรปิฎก แก้ไขเหตุและปัจจัยแห่งการเสื่อมสภาพทั้งหมด ให้อาคารกลับมามีความงดงามดังเดิมตามเจตนารมย์ในการก่อสร้างเพื่อเป็นพุทธบูชา ให้สามารถสื่อความหมายถึงความเป็นหอพระไตรปิฎก ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในส่วนสังฆาวาสของวัด เพื่อให้คงคุณค่าแบบอย่างสถาปัตยกรรมไทยประเพณีที่งดงามในสมัยรัชกาลที่ ๓ โดยรักษารูปทรงทางสถาปัตยกรรม การประดับประดา และการใช้วัสดุแบบดั้งเดิมไว้ รักษาฝีมือช่างดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด ในขณะที่ส่วนศิลปกรรมที่จำเป็นต้องทำใหม่จะเป็นการสืบสานงานช่างไทยให้คงอยู่ต่อไปจากของเก่าที่เป็นแบบอย่างไม่ให้ฝีมือด้อยเสื่อมลง ตลอดจนรักษาสภาพโดยรอบให้ใกล้เคียงและกลมกลืนกับความเป็นโบราณสถานที่มีความสำคัญไว้อย่างดีที่สุด ทั้งนี้ยังจะต้องคำนึงถึงการใช้งานและความสะดวกในการบำรุงรักษาในปัจจุบันและต่อไปในอนาคต<br /><br />รายละเอียดการบูรณะและปรับปรุงอาคาร<br />การเตรียมสถานที่<br />๑. จัดเตรียมแรงงาน เครื่องมือและอุปกรณ์ทำความสะอาดสถานที่ก่อสร้างตลอดระยะเวลาก่อสร้าง<br />๒. จัดเตรียมสถานที่ทิ้งเศษวัสดุและกองเก็บอุปกรณ์ซึ่งรื้อถอนออกจากสถานที่ก่อสร้าง ทั้งนี้เพื่อให้สามารถขนย้ายออกได้ทั้งหมด ไม่มีการกองเก็บไว้ในสถานที่ก่อสร้างภายหลังการรื้อถอน<br />๓. จัดทำระบบป้องกันฝุ่นและอุปกรณ์ป้องกันอันตราย ตามมาตรการป้องกันอันตรายและเหตุเดือดร้อนรำคาญในระหว่างการก่อสร้าง ตามที่กฎหมายกำหนดโดยเคร่งครัด<br />๔. กำหนดขอบเขตพื้นที่ทำงานให้ชัดเจน พร้อมทั้งทำการป้องกันไม่ให้รถยนต์เข้ามาในพื้นที่ทำงาน เนื่องจากตัวอาคารตั้งอยู่ติดกับถนนภายในของวัด<br />๕. รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนเชื่อมต่อระหว่างหอพระไตรปิฎกกับกุฏิที่ตั้งอยู่ชิดกัน<br />๖. รื้อถอนท่อ สายและอุปกรณ์งานระบบอาคารเดิมที่ไม่ใช้งานหรือเสื่อมสภาพออกทั้งหมด และขนย้ายเศษวัสดุออกไปนอกพื้นที่ก่อสร้าง<br />๗. ทำหลังคาคลุมส่วนทำงานที่อยู่ภายนอกอาคารและติดตั้งนั่งร้าน โดยไม่ให้กีดขวางการจราจรบริเวณถนนภายในวัด<br /><br />งานบูรณะ<br />๑. งานหลังคา<br />๑.๑ บันทึกภาพถ่ายโดยละเอียดก่อนเริ่มงานบูรณะ<br />๑.๒ สำรวจตรวจสอบ สรุปข้อมูลการเสื่อมสภาพ และชนิดของไม้ขององค์ประกอบต่างๆ<br />๑.๓ คลุมแผ่นพลาสติกทับบริเวณหน้าบันทั้ง ๒ ด้าน เพื่อป้องกันความเสียหายขณะทำการบูรณะงานหลังคา<br />๑.๔ ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายก่อนการบูรณะ พร้อมจัดเก็บตัวอย่างวัสดุที่จำเป็น<br />๑.๕ รื้อถอนกระเบื้องหลังคาเดิมออกทั้งหมด และขนออกไปนอกพื้นที่ก่อสร้าง<br />๑.๖ บันทึกภาพถ่าย ตรวจสอบโครงสร้างหลังคาภายหลังรื้อกระเบื้องหลังคา<br />๑.๗ รื้อถอนท่อ สายและอุปกรณ์งานระบบอาคารเดิมที่ไม่ใช้งานหรือเสื่อมสภาพออกทั้งหมด และขนย้ายเศษวัสดุออกไปนอกพื้นที่ก่อสร้าง<br />๑.๘ ทำความสะอาดพื้นที่ใต้หลังคาและเหนือฝ้าเพดานทั้งหมด จากนั้นจึงขนย้ายเศษขยะและเศษวัสดุออกไปนอกพื้นที่ก่อสร้าง<br />๑.๙ ซ่อมแซมโครงสร้างหลังคาไม้ส่วนที่ชำรุดแต่ยังพอใช้การได้ โดยให้คงสภาพกลอนสับของเดิมไว้ ทำการซ่อมปลี่ยนเฉพาะส่วนที่ชำรุด<br />๑.๑๐ เปลี่ยนชิ้นส่วนโครงสร้างหลังคาไม้ส่วนที่ชำรุดจนหมดสภาพการใช้งาน โดยใช้ไม้สัก ขนาดและรูปแบบตามแบบดั้งเดิม โดยให้เปลี่ยนไม้ระแนงใหม่ทั้งหมด ทาน้ำยากันปลวกและรักษาเนื้อไม้<br />๑.๑๑ เสริมความแข็งแรงโครงสร้างหลังคา และบริเวณจุดยึดโครงสร้างหลังคาไม้กับผนังอิฐก่อ<br />๑.๑๒ ติดตั้งงานระบบอาคารใหม่ สำหรับส่วนที่เกี่ยวข้องกับหลังคา<br />๑.๑๓ มุงกระเบื้องหลังคา โดยมุงด้วยกระเบื้องเคลือบดินเผาสีส้ม สีเขียว และสีเหลือง ตามลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน ส่วนหลังคาด้านสกัดที่เดิมเป็น ๒ สี ให้ตับล่างเปลี่ยนเป็น ๓ สี เช่นเดียวกันกับด้านยาว ส่วนตับบนเป็นสีเขียวและสีเหลือง ๒ สี พร้อมจัดทำครอบปูนปั้นทับแนวกระเบื้องฉาบด้วยปูนหมักขัดผิวปูนตำ<br /><br />๒. งานหน้าบันและเครื่องลำยอง<br />๒.๑ บันทึกภาพถ่ายโดยละเอียดก่อนเริ่มงานบูรณะ<br />๒.๒ ทำแบบขยายสภาพปัจจุบันให้ครบทุกองค์ประกอบ<br />๒.๓ ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายก่อนการบูรณะ พร้อมจัดเก็บตัวอย่างวัสดุที่จำเป็น<br />๒.๔ ทำ Shop Drawing แบบบูรณะของหน้าบันและเครื่องลำยองทั้งหมด แสดงรายละเอียดสัดส่วน ลวดลายและการประดับกระจกสีตามแบบดั้งเดิมที่สมบูรณ์<br />๒.๕ ถอดเก็บช่อฟ้าเดิมไว้ เพื่อนำไปจัดแสดงนิทรรศการภายหลัง<br />๒.๖ ฟันช่อฟ้าใหม่ทั้ง ๒ ตัว โดยใช้ไม้สัก ประดับตกแต่งด้วยกระจกสีตาม Shop Drawing<br />๒.๗ ทำความสะอาดและบันทึกภาพถ่ายสภาพหน้าบันก่อนการดำเนินการ<br />๒.๘ ซ่อมแซมงานไม้ในส่วนที่ชำรุด<br />๒.๙ ซ่อมแซมกระจกสีตกแต่งหน้าบันที่ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างดี<br />๒.๑๐ ประดับกระจกสีเพิ่มเติมในส่วนที่กระจกเดิมสูญหายไปตามแบบ<br />๒.๑๑ ส่วนงานปิดทองลงรักปิดทองใหม่ทั้งหมด<br />ขอให้ตรวจสอบไม้สำหรับทำเครื่องลำยองทั้งหมดที่ทางวัดได้จัดเตรียมไว้แล้วว่าใช้ได้หรือไม่ก่อนดำเนินการ การอนุรักษ์ส่วนหน้าบันจะดำเนินการโดยช่างฝีมือจากกลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม สำนักโบราณคดี<br /><br />๓. งานฝ้าเพดานภายนอก-ภายในและไขราหน้าจั่ว<br />๓.๑ บันทึกภาพถ่ายโดยละเอียดก่อนเริ่มงานบูรณะ<br />๓.๒ ติดตั้งไม้อัดยางความหนาไม่น้อยกว่า ๑๐ มม. ซ้อนทับบานประตู-หน้าต่างไม้ และติดตั้งไม้อัดยาง ความหนาไม่น้อยกว่า ๑๐ มม โครงเคร่าไม้เนื้อแข็ง คลุมซุ้มประตู-หน้าต่างทั้งหมด เพื่อป้องกันความเสียหายขณะทำการบูรณะฝ้าเพดาน<br />๓.๓ ทำแบบขยายสภาพปัจจุบันเพิ่มเติมให้ครบทุกองค์ประกอบที่จำเป็น<br />๓.๔ ตรวจสอบข้อมูล สภาพและจัดทำแบบแสดงความเสียหายก่อนการบูรณะ พร้อมจัดเก็บตัวอย่างวัสดุที่จำเป็น ๓.๕ ลอกสีน้ำมันที่ทาทับอยู่เดิมออกทั้งหมดด้วยน้ำยาลอกสี นำเสนอผลการตรวจสอบสีดั้งเดิมเพื่อกำหนดสีที่จะใช้<br />๓.๖ บันทึกภาพถ่าย ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายของไม้ฝ้าเพดานเดิม<br />๓.๗ ดำเนินการซ่อมแซมงานไม้แผ่น รวมทั้งช่องเปิดฝ้าเพดานที่ชำรุด<br />๓.๘ ขัดแต่งผิว ทาสีรองพื้นและทาสีตามหลักฐานที่พบจากการตรวจสอบ<br /><br />๔. งานผนังและเสา<br />๔.๑ บันทึกภาพถ่ายโดยละเอียดก่อนเริ่มงานบูรณะ<br />๔.๒ ย้ายอัฐิที่เก็บรักษาอยู่ในหอพระไตรปิฎกปัจจุบัน<br />๔.๓ ติดตั้งไม้อัดยางความหนาไม่น้อยกว่า ๑๐ มม. ซ้อนทับบนบานประตู-หน้าต่างไม้ และติดตั้งไม้อัดยางความหนาไม่น้อยกว่า ๑๐ มม โครงเคร่าไม้เนื้อแข็ง คลุมซุ้มประตู-หน้าต่างทั้งหมด เพื่อป้องกันความเสียหายขณะทำการบูรณะผนังและเสา<br />๔.๔ เขียนแบบขยายลวดบัว ฐานผนัง สภาพปัจจุบันไว้ และทำเป็น Shop Drawing แบบบูรณะ<br />๔.๕ ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายก่อนการบูรณะ พร้อมจัดเก็บตัวอย่างวัสดุที่จำเป็น<br />๔.๖ สกัดผิวปูนซีเมนต์ที่ฉาบไว้เดิมและส่วนที่เสื่อมสภาพออกทั้งหมด และขนย้ายเศษวัสดุออกไปนอกพื้นที่ก่อสร้าง ทั้งนี้โดยเก็บรักษาระดับผิวปูนฉาบเดิมไว้เป็นระยะเพื่อใช้สำหรับอ้างอิงในงานบูรณะขั้นตอนการฉาบปูนใหม่ พร้อมทั้งเก็บปูนเดิมบริเวณเหนือกรอบประตู-หน้าต่างไว้<br />๔.๗ รื้อถอนท่อ สายและอุปกรณ์งานระบบไฟฟ้าเดิมที่ไม่ใช้งานหรือเสื่อมสภาพออกทั้งหมด<br />๔.๘ บันทึกภาพถ่าย ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายของอิฐก่อและคานไม้ทับหลัง<br />๔.๙ ซ่อมแซมเสริมความมั่นคงที่รอยแตกร้าวของอิฐก่อ<br />๔.๑๐ ซ่อมเปลี่ยนอิฐก่อที่ชำรุดเสียหาย เปื่อยยุ่ยจนหมดสภาพการรับน้ำหนัก<br />๔.๑๑ ซ่อมเปลี่ยนคานไม้ทับหลังที่ชำรุด เสริมความแข็งแรงคานไม้ทับหลัง<br />๔.๑๒ ทำระบบตัดความชื้นด้วยคอนกรีตที่ส่วนเสารับระเบียงรอบอาคาร<br />๔.๑๓ จัดทำหรือติดตั้งงานระบบไฟฟ้าที่มีการผังท่อร้อยในผนัง<br />๔.๑๔ ฉาบผิวปูนใหม่ โดยใช้ปูนหมักขัดผิวปูนตำทั้งภายใน-ภายนอก (โดยไม่ใช้ซีเมนต์ขาว) ปั้นแต่งบัวปูนปั้นฐานผนังในจุดต่างๆ ตามรูปแบบ<br /><br />๕. งานประตู-หน้าต่าง<br />๕.๑ บันทึกภาพถ่ายโดยละเอียดก่อนเริ่มงานบูรณะ<br />๕.๒ เขียนแบบขยายสภาพปัจจุบันเพิ่มเติมให้ครบทุกองค์ประกอบที่จำเป็น<br />๕.๓ ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายก่อนการบูรณะ พร้อมจัดเก็บตัวอย่างวัสดุที่จำเป็น<br />๕.๔ ลอกผิวบานหน้าต่างด้านในส่วนที่มีการทาสีทับไว้ออกทั้งหมดจนถึงเนื้อไม้เดิม หรือชั้นสีที่มีความแข็งแรงเพียงพอ ตรวจสอบสีดั้งเดิม<br />๕.๕ บันทึกภาพถ่าย ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายของงานไม้เดิม<br />๕.๖ รื้อถอดบานหน้าต่างออกจากที่เดิม และขนย้ายออกมาซ่อมแซม ณ สถานที่ซึ่งจัดเตรียมไว้<br />๕.๗ ดำเนินการซ่อมแซมงานไม้ของบานหน้าต่างและกรอบเช็ดหน้า (วงกบ) ที่ชำรุด<br />๕.๘ อนุรักษ์ลายรดน้ำบานประตูและหน้าต่าง ด้วยวิธีสงวนรักษา ทำความสะอาดและซ่อมแซมส่วนที่ขาดหายด้วยการลงรักปิดทอง โดยใช้รักแท้ เขียนลวดลายเสริมส่วนที่ชำรุดด้วยหอระดาน เช็ดรักและปิดทองลวดลายส่วนที่ชำรุดให้สมบูรณ์<br />๕.๙ ติดตั้งบานประตูและหน้าต่างกลับเข้ายังตำแหน่งเดิม ภายหลังการซ่อมแซมงานไม้เรียบร้อยแล้ว<br />๕.๑๐ ติดตั้งอุปกรณ์มือจับ กลอน และกุญแจ ตามแบบดั้งเดิม<br />การอนุรักษ์ลวดลายรดน้ำจะดำเนินการโดยช่างฝีมือจากกลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม สำนักโบราณคดี<br /><br />๖. งานซุ้มประตู-หน้าต่าง<br />๖.๑ บันทึกภาพถ่ายโดยละเอียดก่อนเริ่มงานบูรณะ<br />๖.๒ ตรวจสอบแบบขยายสภาพปัจจุบันของลวดลายปูนปั้นทุกซุ้ม และวิเคราะห์ต่อเติมลายปูนปั้นให้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยทดลองปั้นเป็นตัวอย่างให้ดูเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อน<br />๖.๓ ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายก่อนการบูรณะ พร้อมจัดเก็บตัวอย่างวัสดุที่จำเป็น<br />๖.๔ ทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดผสมแอมโมเนียมคาร์บอเนต ลอกสีเหลืองทองที่ทาทับซุ้มปูนปั้นออกทั้งหมดจนถึงผิวปูนด้านในด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหาย<br />๖.๕ บันทึกภาพถ่ายสภาพปูนปั้นภายหลังจากการลอกสีออก<br />๖.๖ เสริมความมั่นคง ซ่อมแซม และปั้นเสริมงานปูนปั้นในส่วนที่ชำรุดให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตามรูปแบบ<br />๖.๗ ลงรักปิดทองใหม่ทั้งหมด โดยใช้รักแท้และแผ่นทองคำเปลวแท้คัดอย่างดีให้เนื้อทองเป็นสีเดียวกัน<br />การอนุรักษ์ลวดลายปูนปั้นจะดำเนินการโดยช่างฝีมือจากกลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม สำนักโบราณคดี ด้วยหลักการที่จะรักษาเนื้อวัสดุและฝีมือช่างเดิมไว้ให้มากที่สุด<br /><br />๗. งานพื้น<br />๗.๑ พื้นภายในห้องชั้นบน<br />๗.๑.๑ บันทึกภาพถ่ายโดยละเอียดก่อนเริ่มงานบูรณะ<br />๗.๑.๔ ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายของไม้พื้นเดิม<br />๗.๑.๕ ถอดรื้อพื้นไม้เดิมออก<br />๗.๑.๖ เรียงไม้พื้นใหม่ โดยใช้ระบบการเรียงรูปแบบเดิม ดำเนินการซ่อมแซมไม้ในส่วนที่เสื่อมสภาพเล็กน้อย และเปลี่ยนไม้ใหม่ ในส่วนที่ชำรุด โดยใช้ไม้สัก<br />๗.๑.๗ ขัดแต่งผิว ทาสีย้อมไม้ น้ำยารักษาเนื้อไม้ ที่พิจารณาเลือกหลังจากการศึกษาเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ต่างๆในท้องตลาดและวิธีการดั้งเดิม<br />๗.๒ พื้นระเบียงชั้นบน<br />๗.๒.๑ บันทึกภาพถ่ายโดยละเอียดก่อนเริ่มงานบูรณะ<br />๗.๒.๒ สกัดปูนที่เททับบนพื้นไม้เดิมออก<br />๗.๒.๓ บันทึกภาพถ่าย ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายของไม้พื้นเดิม<br />๗.๒.๔ ถอดรื้อพื้นไม้เดิมออก<br />๗.๒.๕ เรียงไม้พื้นใหม่ ภายหลังการเสริมความมั่นคง ซ่อมแซมโครงสร้างรับพื้นไม้ โดยใช้ระบบการเรียงในรูปแบบเดิม ดำเนินการซ่อมแซมไม้ในส่วนที่เสื่อมสภาพเล็กน้อย และเปลี่ยนไม้ใหม่ ในส่วนที่ชำรุด โดยใช้ไม้สัก<br />๗.๑.๖ ขัดแต่งผิว ทาสีย้อมไม้ น้ำยารักษาเนื้อไม้และเคลือบผิวไม้ ที่พิจารณาเลือกหลังจากการศึกษาเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ต่างๆในท้องตลาดและวิธีการดั้งเดิม<br />๗.๓ พื้นภายในห้องใต้ถุน<br />๗.๓.๑ บันทึกภาพถ่ายโดยละเอียดก่อนเริ่มงานบูรณะ<br />๗.๓.๒ รื้อสุขภัณฑ์ห้องน้ำเดิม และพื้นเดิม ออกทั้งหมด<br />๗.๓.๓ ปูพื้นใหม่โดยใช้กระเบื้องดินเผาแกร่ง ตาม Shop Drawing แบบขยายที่ได้รับอนุมัติแล้ว<br />๗.๔ พื้นรอบนอกห้องใต้ถุน<br />๗.๔.๑ บันทึกภาพถ่ายโดยละเอียดก่อนเริ่มงานบูรณะ<br />๗.๔.๓ รื้อฟื้นระดับพื้นดั้งเดิม โดยทำการสกัดพื้นปูน ผิวถนนปัจจุบันออก<br />๗.๔.๔ บันทึกภาพถ่าย ตรวจสอบ วัดระดับและจัดทำแบบแสดงหลักฐานทางด้านโบราณคดีและสถาปัตยกรรมที่พบ และจัดทำแบบแสดงความเสียหายของโครงสร้างด้านล่างทั้งหมด<br />๗.๔.๕ ทำ Shop Drawing แบบบูรณะโครงสร้างด้านล่างที่พบ<br />๗.๔.๖ ดำเนินการซ่อมแซมโครงสร้าง ตามแบบบูรณะ<br />๗.๔.๗ ปูผิวพื้นใหม่ด้วยอิฐขนาดใหญ่ เท่าของดั้งเดิมตามที่ขุดพบ<br /><br />๘. งานบันไดและพนักระเบียง<br />๘.๑ บันทึกภาพถ่ายโดยละเอียดก่อนเริ่มงานบูรณะ<br />๘.๒ เขียนแบบขยายสภาพปัจจุบันเพิ่มเติมให้ครบถ้วน<br />๘.๓ ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายก่อนการบูรณะ พร้อมจัดเก็บตัวอย่างวัสดุที่จำเป็น<br />๘.๔ สกัดผิวปูนฉาบบริเวณพนักบันไดและพนักระเบียงออก ขนย้ายออกไปนอกพื้นที่ก่อสร้าง ทั้งนี้โดยเก็บรักษาระดับผิวปูนฉาบเดิมไว้เป็นระยะเพื่อใช้สำหรับอ้างอิงในงานบูรณะขั้นตอนการฉาบปูนใหม่ และระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายกับเครื่องถ้วยจีนประดับผนัง<br />๘.๕ สกัดบัวปูนปั้นที่ชำรุดเสื่อมสภาพออกทั้งหมด ทั้งนี้โดยเก็บรักษาระดับผิวปูนฉาบและบัวปูนปั้นเดิมไว้เป็นระยะเพื่อใช้สำหรับอ้างอิงในงานบูรณะขั้นตอนการฉาบปูนและปั้นบัวใหม่<br />๘.๖ รื้อถอนประตูไม้และพื้นไม้เดิมที่บริเวณชานพักบันได รื้อถอนบันไดปูนเข้าสู่ภายในหอไตรออกเปลี่ยนเป็นบันไดไม้ตามแบบบูรณะ<br />๘.๗ บันทึกภาพถ่าย ตรวจสอบและจัดทำแบบแสดงความเสียหายของอิฐก่อภายหลังการรื้อถอน<br />๘.๘ รื้อถอนกระเบื้องปรุจีนที่ชำรุดจนหมดสภาพการใช้งานออก ส่วนกระเบื้องปรุเดิมที่ยังอยู่ในสภาพดี ให้นำไปจัดเก็บในที่ที่เตรียมไว้<br />๘.๙ ซ่อมรอยแตกร้าวของอิฐก่อ<br />๘.๑๐ ซ่อมเปลี่ยนอิฐก่อที่ชำรุดเสียหาย เปื่อยยุ่ยจนหมดสภาพการรับน้ำหนัก<br />๘.๑๑ ติดตั้งกระเบื้องปรุเดิมที่ยังอยู่ในสภาพดี รวมไว้ที่พนักระเบียงด้านทิศตะวันตก<br />๘.๑๒ ติดตั้งกระเบื้องปรุจีนที่จัดทำขึ้นใหม่ทดแทนของเดิม โดยให้ระบุปี พ.ศ. ที่ทำการซ่อมไว้ที่กระเบื้อง<br />๘.๑๓ ซ่อมแซมบัวปูนปั้นที่ชำรุดหรือปั้นใหม่เสริมให้สมบูรณ์<br />๘.๑๔ ฉาบผิวปูนใหม่ โดยใช้ปูนหมักขัดผิวปูนตำ<br />๘.๑๕ ซ่อมแซมลูกตั้ง ลูกนอนบันไดหรือแผ่นหินที่ชำรุด รื้อฟื้นระดับเดิมของลูกนอนขั้นบันไดล่างสุด<br />๘.๑๖ ติดตั้งประตูไม้ที่จัดทำขึ้นใหม่บริเวณชานพักบันได<br /><br />๙. งานระบบอาคาร<br />๙.๑ ระบบไฟฟ้าแสงสว่างและเต้าเสียบ แก้ไขการเดินสายไฟและตำแหน่งมิเตอร์ไฟฟ้าในปัจจุบันที่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยจัดทำ Shop Drawing ขออนุมัติก่อน<br />๙.๒ ระบบป้องกันอัคคีภัย จัดหาอุปกรณ์ดับเพลิง<br />๙.๓ ระบบป้องกันปลวก วางท่อไว้ใต้ดินเพื่อฉีดน้ำยา<br /><br />รายละเอียดวัสดุ<br />ปูนที่ใช้ในการบูรณะ<br />เนื่องจากวัสดุปูนที่ใช้ ก่อ ฉาบ และใช้เป็นลวดลายประดับโบราณสถานนั้น เป็นปูนที่มีคุณภาพและเหมาะสม มากกว่าปูนที่ใช้ในปัจจุบัน จึงกำหนดให้ผู้รับจ้างใช้ปูนแบบโบราณ ซึ่งมีรายละเอียดโดย ทั่วไปดังนี้รายละเอียดปูนหมัก - ปูนตำ<br />- เทคนิคการเตรียมปูนหมัก ปูนตำ มีขั้นตอนและรายละเอียดดังนี้<br />ก. วัตถุดิบ ปูนดิบ คือปูนที่ได้จากการเผาหินปูน (CaCo3) ด้วยความร้อนสูง เพื่อไล่คาร์บอนไดออกไซด์ หินปูนจะแตกเป็นก้อน ๆ เรียกว่า ปูนดิบ (CaO)<br />ข. ปูนหมัก ให้นำปูนดิบมาดำเนินการดังนี้<br />ย่อยปูนดิบ ให้ทุบปูนดิบที่ได้ให้เป็นก้อนขนาดเล็ก ขนาดไม่ใหญ่กว่า f ๕ ซม. เพื่อลด<br />ปฏิกิริยาเคมีในขณะหมัก<br />การหมักปูน<br />บ่อหมัก ให้ก่อบ่อหมักที่แข็งแรงด้วยการก่อผนังอิฐฉาบปูน โดยให้มีปริมาณ<br />บรรจุตามความเหมาะสม และสะดวกในการนำกลับมาใช้<br />การหมัก ให้นำปูนดิบที่ย่อยแล้วใส่ในภาชนะ เช่น ถัง ตามปริมาณที่ต้องการ ไป<br />ครั้งที่ ๑ วางในบ่อหมัก ใส่น้ำจืดที่สะอาดลงไปในบ่อให้น้ำมีระดับท่วมสูงกว่าปูนดิบไม่น้อยกว่า ๑” หลังจากนั้น จะเกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรง น้ำจะมีอุณหภูมิถึงจุดเดือดและปูนดิบจะแตกตัวจนละเอียด ทิ้งไว้จนกว่าปฏิกิริยาจะหยุด น้ำในบ่อจะแห้งจนเหลือปูนขาวเหนียว (CaO2H2)<br />ครั้งที่ ๒ การหมัก ให้นำปูนขาวเหนียวที่ได้ขึ้นจากบ่อ ล้างน้ำ ร่อนผ่านตะแกรงขนาด ๕ X ๕ ตร.มม เพื่อเอาเศษวัสดุก้อนปูนขาวขนาดใหญ่ และปูนที่ ไม่เกิดปฏิกิริยาออก นำปูนที่ได้ไปหมักในบ่ออีกครั้งหนึ่ง โดยควรดูแลรักษาระดับน้ำให้ท่วมปูน อยู่ในระดับไม่น้อยกว่า ๑” ทิ้งไว้อย่างน้อย ๒ สัปดาห์ เรียกปูนนี้ว่า ปูนหมัก เมื่อจะนำปูนไปใช้ให้ถ่ายน้ำปูนออก น้ำปูนที่ถ่ายออกสามารถนำไปสลัดใส่ผนังที่จะทำการฉาบ เพื่อเร่งผลให้ปูนฉาบแข็งตัวเร็วขึ้นได้<br />ค. ปูนตำ ใช้ในการอนุรักษ์ลวดลายปูนปั้น มีวัสดุดังนี้<br />- ปูนหมัก<br />- กระดาษสา หรือกระดาษฟาง<br />- น้ำ และวัสดุอื่น ๆ เช่น น้ำตาลอ้อย<br />มีขั้นตอนดังนี้<br />- ตากปูนหมัก ให้นำปูนหมักมาปั้นเป็นก้อน ขนาดประมาณ f ๔” นำไปตากแดดประมาณ ๑ วัน จนปูนหมักแห้ง<br />- การตำ ให้นำปูนที่ตากแห้งแล้ว ไปตำในครกด้วยไม้ แล้วใส่กระดาษสา หรือกระดาษฟาง ตำให้เนื้อปูนกับเนื้อกระดาษผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่น้ำพอประมาณให้เนื้อปูนเหนียวพอเหมาะแก่การนำไปใช้<br />- การหมัก นำปูนตำที่ได้ใส่ถุงพลาสติก ขนาดพอเหมาะ มัดให้แน่น ไม่ให้อากาศเข้า แล้วนำไปแช่ในภาชนะใส่น้ำให้ท่วม หมักต่อไปอีกอย่างน้อย ๒ อาทิตย์ จึงสามารถนำไปใช้ได้<br />- เทคนิคการนำไปใช้<br />ปูนฉาบ ประกอบด้วยส่วนผสม ๒ ประเภท ดังนี้<br />- ปูนฉาบ ชั้นที่ ๑-๒ ส่วนผสม ปูนหมัก ๒ ส่วน ทราย ๕ ส่วน โดยปริมาตร<br />- ปูนฉาบ ชั้นที่ ๓ และชั้นผิวนอก ส่วนผสม ปูนหมัก ๑ ส่วน ทราย ๓ ส่วน โดยปริมาตร<br />การฉาบ<br />หลังจากจัดเตรียมส่วนผสม (ผสมน้ำกาว และน้ำอ้อย หรือน้ำตาล หากมีความจำเป็นตามเทคนิคโบราณ) ให้มีความเหนียว ความข้น พอเหมาะแล้ว ในการฉาบชั้นที่ ๑-๓ ให้ฉาบหนาประมาณ ๙-๒๐ มม. ตามความเหมาะสม ส่วนการฉาบผิวนอก ให้ฉาบเรียบหนาประมาณ ๒-๓ มม. เท่านั้น โดยให้ประพรมน้ำด้วยการสเปรย์วันละ ๔-๑๒ ครั้ง เพื่อหน่วงเวลาการแข็งตัวของปูน ไม่ให้แข็งเร็วจนเกินไป การฉาบแต่ละชั้นควรเว้นระยะเพื่อให้การหดตัวในระยะแรกผ่านไปก่อนฉาบชั้นต่อไปควรตรวจสอบการยึดเกาะและกำลังด้วย<br />ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นการฉาบบนผิวคอนกรีตปูนซีเมนต์ขาวจึงให้มีการผสมปูนซีเมนต์ขาวในส่วนผสมปูนตำที่ผิวนอกด้วย<br />ปูนโครงสร้าง ให้ใช้อัตราส่วนดังนี้<br />ปูนซีเมนต์ขาว : ทราย : หิน = ๑ : ๒ : ๔<br />รายละเอียดอื่น ๆ ให้เป็นไปตามรายการประกอบแบบมาตรฐานของกรมศิลปากร<br /><br />เทคนิคการซ่อมแซมและอนุรักษ์ปูนปั้น ปูนฉาบ<br />๑. ทำความสะอาดรอยขอบปูนฉาบ ด้วยแปรงขนอ่อนและน้ำสะอาด<br />๒. กะเทาะปูนส่วนขอบ ที่หมดสภาพออก<br />๓. กะเทาะปูนส่วนที่โป่ง พอง ผิวปูนไม่ติดผิวอิฐออก<br />๔. พรมน้ำจืด ให้ผิวปูนและอิฐชุ่มน้ำพอหมาด<br />๕. ฉาบปูนหมัก ปูนตำ ตามสูตรที่กำหนด ตามรอยขอบกว้างประมาณ ๑ นิ้ว หนาน้อยกว่าปูนเดิม ประมาณ ๒ ม.ม.<br />การดำเนินการในส่วนนี้เป็นงานละเอียดประณีต ผู้รับจ้างต้องแจ้งผู้ควบคุม งานล่วงหน้าก่อนดำเนินการ โดยการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามมาตรฐานการอนุรักษ์<br /><br />กรณีที่ปูนฉาบมีหลักฐานร่องรอยที่มีความสำคัญเป็นพิเศษในทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี หรือศิลปกรรม (ให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะผู้ออกแบบ) ให้ดำเนินการอนุรักษ์ตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการอนุรักษ์ที่ได้มาตรฐานของกรมศิลปากร ดังต่อไปนี้<br />๑. ถ่ายภาพบริเวณที่จะทำการอนุรักษ์ไว้โดยละเอียด ก่อนดำเนินการเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน<br />๒. ทำความสะอาดผิวขจัดคราบสกปรกด้วยน้ำสะอาดและแปรงขนอ่อน<br />๓. เสริมความมั่นคงให้ผิวปูนที่แตกตัวจากอิฐก่อด้วยการฉีดกาวผสมปูนหมักเชื่อม<br />๔. ใช้เคมีภัณฑ์ป้องกันและขจัดพืช และวัชพืช<br />๕. ใช้เคมีภัณฑ์ป้องกันเชื้อรา<br />๖. ยึดขอบผิวปูนฉาบที่ชำรุด ด้วยปูนหมัก ปูนตำ<br />๗. เสริมความมั่นคงผิวปูนบางแห่งด้วยแกนเหล็กไร้สนิม (วิศวกรและนักอนุรักษ์เป็นผู้กำหนดรายละเอียด)<br />๘. อาบสารป้องกันการซึมของน้ำ<br />๙. เสริมกาวสารสังเคราะห์ เพื่อให้ผิวปูนฉาบและอิฐแข็งแรง<br />๑๐. ถ่ายภาพขั้นตอนระหว่างการดำเนินงานและหลังการดำเนินงานโดยละเอียด<br />มาตรฐานวัสดุอื่น ๆ ที่ใช้ในการก่อสร้าง ให้เป็นไปตามรายการมาตรฐานการก่อสร้างอาคารของกรมศิลปากรVasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-19481964235447659382009-08-23T00:05:00.001-07:002009-08-23T00:15:22.419-07:00จากกรรมาธิการอนุรักษ์ฯ ด้านสถาปัตยกรรมไทยประเพณี<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTODb9-wDMrv6m8X-jjYglREENHOdMm8lW2XbjUDB82-i9Zz5GLZhFtOQcDPmRklmqkvwyYMn2JRPZvzZuQh8XZq1AWuTu5AJqMRV_SpHFtshMttZ2OaM6xqIilwZLhXdQA5WzFBLF9BY/s1600-h/graphic+asatemple.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 230px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5373052137928636722" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTODb9-wDMrv6m8X-jjYglREENHOdMm8lW2XbjUDB82-i9Zz5GLZhFtOQcDPmRklmqkvwyYMn2JRPZvzZuQh8XZq1AWuTu5AJqMRV_SpHFtshMttZ2OaM6xqIilwZLhXdQA5WzFBLF9BY/s320/graphic+asatemple.jpg" /></a>ขอรายงานข่าวความคืบหน้าในโครงการอนุรักษ์หอพระไตรปิฎก วัดเทพธิดารามวรวิหาร หลังจากในคราวก่อนที่ได้รายงานยอดเงินทำบุญผ้าป่าอาษาสามัคคี เพื่อนำไปสมทบงบประมาณในการบูรณะปฏิสังขรณ์ หอพระไตรปิฎก จากในส่วนสมาชิกและเครือข่ายการอนุรักษ์ของสมาคม รวมทั้งกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในงานวันนั้นที่เกี่ยวเนื่องกับวันสุนทรภู่ไปแล้ว ทางด้านความพร้อมของงบประมาณของโครงการ กรมศิลปากรยังได้ให้การสนับสนุนเจตนารมย์อันเป็นกุศลของเราด้วยการอนุมัติเงินอุดหนุนให้อีกในจำนวน 4.7 ล้านบาท โดยนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร ได้ให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่มีโครงการอนุรักษ์โบราณสถานที่ริเริ่มโดยองค์กรอื่น ถือเป็นตัวอย่างที่ดีจึงได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในขณะที่ทางวัดเทพธิดารามเองก็มีเงินทุนและวัสดุก่อสร้างจัดเตรียมไว้จำนวนหนึ่งแล้ว<br /><br />สำหรับแบบอนุรักษ์หอพระไตรปิฎกซึ่งเป็นผลการดำเนินงานของเหล่าอาสาสมัครนั้น ทางกรรมาธิการได้นำเสนอขออนุมัติต่อกรมศิลปากรด้วยเหตุที่เป็นการดำเนินการกับอาคารที่เป็นโบราณสถานเรียบร้อยแล้ว เป็นขั้นตอนที่มีการพิจารณาโดยคณะกรรมการวิชาการเพื่อการบูรณะโบราณสถาน ที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากสายวิชาชีพต่างๆ ทั้งสถาปนิก ภูมิสถาปนิก วิศวกร นักโบราณคดี ช่างศิลปกรรม อาจารย์จากมหาวิทยาลัย และตัวแทนจากภาคประชาชน ทั้งนี้กรมศิลปากรได้มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณามายังสมาคมแล้วตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2552<br /><br />มีเนื้อความอนุญาตให้สมาคมสถาปนิกสยามฯ ดำเนินการบูรณะหอพระไตรปิฎกวัดเทพธิดารามวรวิหาร ตามแบบที่นำเสนอมาได้ ซึ่งจะเป็นการซ่อมแซมให้อาคารกลับคืนสู่รูปแบบสถาปัตยกรรมไทยประเพณีแบบดั้งเดิม โดยรื้อถอนส่วนต่อเติมหรือที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในยุคหลังออกไป และมีการแก้ไข เสริมความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้าง สำหรับงานศิลปกรรมการตกแต่งต่างๆ เช่น ลายรดน้ำที่บานประตู หน้าต่าง การปิดทองประดับกระจกที่หน้าบัน และลวดลายปูนปั้นทั้งหมด จะรักษาเนื้อวัสดุและฝีมือช่างของเดิมไว้ให้มากที่สุด โดยในส่วนนี้ได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มอนุรักษ์จิตรกรรมและประติมากรรม สำนักโบราณคดี มาเป็นผู้กำกับดูแล ทั้งนี้ในการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้ส่งรายละเอียดของแบบมาให้กรมศิลปากรพิจารณาอีกครั้งด้วย แบบในส่วนนี้อยู่ระหว่างการจัดทำ ซึ่งเราหวังว่าจะได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องหลังจากงานบูรณะ<br /><br />พร้อมๆกันกับการรอคอยที่จะได้เริ่มลงมือบูรณะอย่างเป็นรูปธรรมที่อาสาสมัครจะได้กลับมาลงพื้นที่อีกครั้งในเร็ววันนี้ ในการจัดเก็บข้อมูลทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน คณะทำงานของโครงการอีกส่วนหนึ่งจะได้รวบรวมข้อมูลศึกษารูปแบบและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหอไตรและสถาปัตยกรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการเติมเต็มข้อมูลทางวิชาการด้านสถาปัตยกรรมในโครงการให้สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งคงจะได้มีการเสวนาวิชาการและกิจกรรมนำชมการดำเนินการบูรณะที่วัดเทพธิดารามอีกดังเช่นที่เราได้จัดขึ้นในช่วงของการสำรวจทำแบบเมื่อปีก่อน ซึ่งจะได้แจ้งให้สมาชิกได้ทราบอีกครั้ง<br /><br />และขอย้ำว่าเรายังไม่ได้ปิดรับทั้งอาสาสมัครและเงินทำบุญที่จะมาร่วมสมทบในการอนุรักษ์สถาปัตกรรมไทยประเพณีในครั้งนี้ หากสมาชิกท่านใดต้องการมีส่วนร่วมนอกจากจะสมัครมาร่วมงานกันก็ยังคงโอนเงินสนับสนุนเข้ามาได้ ที่บัญชี “วัดเทพธิดารามวรวิหาร (บูรณะหอพระไตรปิฎกคณะ5)” บัญชีเลขที่ 037-2-37600-7 ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนมหาไชย และหากต้องการอนุโมทนาบัตรเพื่อลดหย่อยภาษี (ตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไป) โปรดติดต่อคุณวราภรณ์ ฝ่ายเลขานุการโครงการ โทร. 0 2628 8288 email : asatemple@gmail.comVasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-12607005827884813862009-08-22T08:51:00.000-07:002009-08-22T09:19:43.917-07:00บันทึกภาพจากเส้นทางสายแพรไหม Images from the Silk Road (from Kashgar to Xi’an)(จากโครงการเสวนาสัญจรของอิโคโมสไทยครั้งที่ ๒๔ เส้นทางวัฒนธรรมสู่นครฉางอาน สาธารณรัฐประชาชนจีน วันที่ ๔-๑๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒)<img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 234px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372817174458767106" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiC-f28AnPWhMLM9CxyHpL1Q9CWMVuthYAc7jZdCJ9_KMT9daOMFKfFJ6H_nKsDs4XQNB4fWxesasAN-hVI2gsO30rrUkRk3aJPHVim2GmRzuEAKw4ChDlICyFB0TEtl_sY-0tR_zS8zos/s320/1urumqi.JPG" />๑. จากเมืองไทยเราแวะต่อเครื่องที่ซีอานเพื่อมุ่งสู่อูรุมฉีเมืองหลวงของมณฑลซินเจียงเป็นจุดแรก ที่นี่มีภูเขาเทียนชานและทะเลสาบเทียนฉือที่ได้ชื่อว่างามดุจสวรรค์ วันนี้น้ำในทะเลสาบเป็นน้ำแข็งสีขาวโพลนเป็นของแปลกอย่างแรกที่เราได้พบในทริปนี้<br />Tian Chi Lake (Heavenly Lake), Urumqi<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyaLlRhR8Vpty_twLYKHYhnODtgs9eHdVq6563p6xfJjP5jasLHHK0rdqhqiamiOKIHgIdf_ifc-lMzEUXYmaWOGbNMzX1Y-655B-KqTQYEOWjd_cbVMPIxZUuGXzWBkMQ3NbkDisEcKE/s1600-h/2urumqi+musee.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372819063844471698" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhyaLlRhR8Vpty_twLYKHYhnODtgs9eHdVq6563p6xfJjP5jasLHHK0rdqhqiamiOKIHgIdf_ifc-lMzEUXYmaWOGbNMzX1Y-655B-KqTQYEOWjd_cbVMPIxZUuGXzWBkMQ3NbkDisEcKE/s320/2urumqi+musee.JPG" /></a> ๒. หลังชมความงามทางธรรมชาติและบ้านกระโจมพื้นถิ่นของชาวคาซัค ก็ได้มาชมพิพิธภัณฑ์แห่งเขตปกครองตนเองซินเจียงที่ผู้เชี่ยวชาญของพิพิธภัณฑ์เปิดให้เราเข้าชมห้องมัมมี่แห่งโลวลานเป็นกรณีพิเศษ นอกจากเรื่องราวของชนเผ่าพื้นเมืองต่างๆที่น่าสนใจมาก<br />Xinjiang Museum, Urumqi<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeYblRj05X4rZUDEK2j15c-mXdSJi7lIUW4qpeKdRvgs5MxwVLqhk6eg6KLfRSK5gA9jcW28uVp2FlbC6fHRnYvogWo69OPkohofz2-O9wtpmM1hnBbHDiXVdxldgJSCi-XBvw4FoSXFs/s1600-h/3karakuli.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 232px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372818908114222242" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeYblRj05X4rZUDEK2j15c-mXdSJi7lIUW4qpeKdRvgs5MxwVLqhk6eg6KLfRSK5gA9jcW28uVp2FlbC6fHRnYvogWo69OPkohofz2-O9wtpmM1hnBbHDiXVdxldgJSCi-XBvw4FoSXFs/s320/3karakuli.JPG" /></a>๓. จากอูรุมฉีเราเดินทางสู่คาสการ์ และนั่งรถอีกครึ่งวันผ่านทะเลทรายต่อมายังชายแดนปลายสุดประเทศจีนต่อปากีสถานที่ทะเลสาบการากูลิ ที่นี่มีอูฐเดินอยู่บนทะเลสาบน้ำแข็งให้ขี่แอ็คท่าถ่ายรูป (ไม่ต้องจ่ายค่าลงอย่างที่อิยิปต์) ต้องไม่ลืมว่าการมาเยี่ยมชมเส้นทางสายไหมคราวนี้ได้คุณภัคพดี นักโบราณคดี กรมศิลปากรเป็นผู้นำมา<br />Ms.Pakpadee at Karakul Lake, close to Pakistani border<br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjje3z0NjA-3VrbmEisDOKuDY84irIQMlsL9HVI9IAg6uIh1q1FNrq2TdODEX7yP2dnNJSSf8RFbkd5CIa4cjzBjRnV1OjPDIaSDzY4Hjq3JbRRr9ekUj7VEy6j5u0rqO2mwsTe1nJwb7c/s1600-h/4kashgar.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372818719294112098" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjje3z0NjA-3VrbmEisDOKuDY84irIQMlsL9HVI9IAg6uIh1q1FNrq2TdODEX7yP2dnNJSSf8RFbkd5CIa4cjzBjRnV1OjPDIaSDzY4Hjq3JbRRr9ekUj7VEy6j5u0rqO2mwsTe1nJwb7c/s320/4kashgar.JPG" /></a> ๔. ที่คาสการ์ชาวเมืองร้อยละ๙๐ คือชาวเวคเกอร์(Uygur) เป็นมุสลิม เราเลยมาสวมหมวกเดิมชมตลาดกลางเมืองแหล่งรวมวิถีชีวิตพื้นถิ่น และไปมัสยิดกัน ที่นี่คือมัสยิด Id Kah ใหญ่ที่สุดในซินเจียง<br />Id Kah Mosque, Kashgar historic center</div><div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1GWuobWKv34w35eWqtDcbSdNWJehdD_VvT1k5aTX5OK8btkBoK9l1GoUfgB09S0LUbyK35uT6r5AzmYT6Rm3qP80ynsccRpQwMk_fH_FX_o7CvKiSL5HpzwWHjZT1SPO_CFes4fUZddw/s1600-h/5turpan.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 236px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372818573898693250" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh1GWuobWKv34w35eWqtDcbSdNWJehdD_VvT1k5aTX5OK8btkBoK9l1GoUfgB09S0LUbyK35uT6r5AzmYT6Rm3qP80ynsccRpQwMk_fH_FX_o7CvKiSL5HpzwWHjZT1SPO_CFes4fUZddw/s320/5turpan.JPG" /></a>๕. เดินทางต่อมาตามเส้นทางสายไหม ผ่านทะเลทรายโกบี ที่แม้แต่หญ้าอูฐก็ไม่ขึ้น ดั้นด้นฝ่าพายุทรายมาจนถึงเมืองโบราณมรดกโลกเจียวเหอใกล้กับทูรูฟาน มีวัดในศาสนาพุทธเป็นศูนย์กลาง เช่นเดียวกับเมืองเกาชาง อีกเมืองที่เรานั่งรถเทียมลาเข้าไปชม มีบันทึกว่าพระถังซัมจั๋งเคยมาพำนักแสดงธรรมที่นี่ด้วย<br />Jiaohe : world heritage site, Turpan<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3CiQUXhaOMvv1xDEFONImGvUMzSh_xYppJZvwqRgpjjwFNaXtMaBITKuW2aQTDUdM8DWbZSt_Qzh2ijF58-YGLNaZkncgkcUu0im1s6Yy_vWKMxYmzce1-80SHxehwQpt73HgIepq9RY/s1600-h/6jiayuguan.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 232px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372818435302171634" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3CiQUXhaOMvv1xDEFONImGvUMzSh_xYppJZvwqRgpjjwFNaXtMaBITKuW2aQTDUdM8DWbZSt_Qzh2ijF58-YGLNaZkncgkcUu0im1s6Yy_vWKMxYmzce1-80SHxehwQpt73HgIepq9RY/s320/6jiayuguan.JPG" /></a>๖. คืนนั้นเรานอนบนรถไฟชั้น๑ มาเช้าที่เจียยู่กวนเมืองป้อมปราการสมัยราชวงศ์หมิงที่ไกด์ว่าเป็นของใหม่อายุแค่ ๗๐๐ ปี ที่นี่คือปลายสุดกำแพงเมืองจีนทางตะวันตกของจีน พวกเราที่มาจาก “นอกด่าน” จะได้ศิวิไลซ์กันเสียที</div><div>Jiayuguan Fort, the West Gate of China<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKx0rfl8dUs-F_Fjv0crfOLh6eHoHfQJv6xDatHyoKxU4QsUXkS3RS60dPU0ouKGaaRtxaV_sTK2DCHkBnrgbPZ5d1noUANVxARdHFKzI8rWHXRwQb_sG3NGA3W2lTHSOI2rH80dr8JTA/s1600-h/7dunghuang.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 234px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372818307751433090" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKx0rfl8dUs-F_Fjv0crfOLh6eHoHfQJv6xDatHyoKxU4QsUXkS3RS60dPU0ouKGaaRtxaV_sTK2DCHkBnrgbPZ5d1noUANVxARdHFKzI8rWHXRwQb_sG3NGA3W2lTHSOI2rH80dr8JTA/s320/7dunghuang.JPG" /></a> ๗. มาพักที่ตุงหวง เมืองโอเอซิสจุดยุทธศาสตร์แห่งเส้นทางสายไหม เป็นจุดสุดท้ายที่จะจัดหาเสบียงสำหรับการเดินทางในทะเลทรายได้ จึงมีการสร้างวัดขึ้นมากมายเพื่อขอพร หรือแก้บนที่กลับมาได้โดยสวัสดิภาพ เบื้องหลังของเราคือถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาถ้ำที่ยังเหลืออยู่หลายร้อยถ้ำของแหล่งถ้ำมาเกา ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่และจิตรกรรมฝาผนังอัปสราเหิรที่งดงามมาก<br />Mogao Grottoes, Dunghuang<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8miY968I3mQGvKIT3T0agoMhyphenhyphenegQ0_lnaW-5-tIN2D5Gg_-uiWo5tOdisFtBfLqbJOqQkH5JbmxC-BjZkouQhczfIml_y8lEBAvrlkwpqlSV4B69Q7gRKLWl1LAa9Pzd4eEO5YsM9bxc/s1600-h/8xian1.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372818153324823026" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8miY968I3mQGvKIT3T0agoMhyphenhyphenegQ0_lnaW-5-tIN2D5Gg_-uiWo5tOdisFtBfLqbJOqQkH5JbmxC-BjZkouQhczfIml_y8lEBAvrlkwpqlSV4B69Q7gRKLWl1LAa9Pzd4eEO5YsM9bxc/s320/8xian1.JPG" /></a> ๘. เราเดินทางลัดฟ้ากลับเข้าสู่ซีอาน หรือ ฉางอานในสมัยราชวงศ์ถัง ที่วัดเจดีย์ห่านป่าใหญ่นี้คือจุดกำเนิดของตำนานพระถังซัมจั๋ง ผู้ใช้เส้นทางสายไหมบางส่วนในการเดินทางสู่อินเดีย ที่ซีอานมีอะไรให้ดูมากมายทั้งวัด พิพิธภัณฑ์ สุสาน และมัสยิดในรูปแบบสถาปัตยกรรมจีน</div><div>The Big Wild Goose Pagoda, Xi’an<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEixgBavsVWDV4rlF64b4TNUJF45vdpN6xUlOg9f9VWLvSjY5BK-jXrgxVuDIoibSf768vi-QNs7g8E3AryGGqT2YnYeTBg7-SIdhxkCV4FA-_Uv81BzzMP7XMezegNoQMHXegho0qvteJc/s1600-h/9xian2.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 230px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372818005303903346" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEixgBavsVWDV4rlF64b4TNUJF45vdpN6xUlOg9f9VWLvSjY5BK-jXrgxVuDIoibSf768vi-QNs7g8E3AryGGqT2YnYeTBg7-SIdhxkCV4FA-_Uv81BzzMP7XMezegNoQMHXegho0qvteJc/s320/9xian2.JPG" /></a> ๙. ถ้าใครดูพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคที่ปักกิ่งอาจจะพอจำตุ๊กตายักษ์ ๒ ตัวนี้ได้ วันนี้เขานำมาตั้งไว้ในอาคารพิพิธภัณฑ์กองทัพทหารดินเผาของสุสานจักรพรรดิ์จิ๋นซี เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการส่งต่อมรดกวัฒนธรรมอันสูงค่าของเขาไปยังเยาวชนคนรุ่นใหม่<br />Marionettes : Warrior & Little Girl, Emperor Qin Shihuang’s Terracotta Army Museum, Xi’an<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3VDz-ZR67xCpMTYSyy6eJ97_gFbeVN5RjVl3uiouHkZJ9kPKRjqsiRK1FmGjpploYk3ParZLWQ3b8CfrnijzCDKM64F5YfOMKxfPEUzjEAIG2Y18nxTemic9QXVd1MPn8OmTS2wv3zSs/s1600-h/iicc1.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 235px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372817689839521122" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3VDz-ZR67xCpMTYSyy6eJ97_gFbeVN5RjVl3uiouHkZJ9kPKRjqsiRK1FmGjpploYk3ParZLWQ3b8CfrnijzCDKM64F5YfOMKxfPEUzjEAIG2Y18nxTemic9QXVd1MPn8OmTS2wv3zSs/s320/iicc1.JPG" /></a> ๑๐. โอกาสที่พิเศษสุดในการเดินทางในครั้งนี้ได้แก่มิตรภาพที่เราได้รับจากการเข้าเยี่ยมชม ICOMOS International Conservation Center แห่งซีอาน หรือ IICC-X ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเจดีย์ห่านป่าเล็ก เป็นการพบปะครอบครัวอิโคโมสเพื่อสานต่อการทำงานในลักษณะเครือข่ายการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมแบบไร้พรมแดน ซึ่งในครั้งนี้ ดร.Shao Zhenyu ผู้อำนวยการฝ่ายเลขานุการของศูนย์เป็นตัวแทนให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี คุณ Chen Bin ผู้อำนวยการฝ่ายการสื่อสารและฝึกอบรมได้แนะนำความเป็นมาของศูนย์และกิจกรรมในโครงการต่างๆที่กำลังดำเนินการอยู่ เช่น การศึกษาจัดเตรียมข้อมูลและเอกสารสำหรับการเสนอ “เส้นทางสายไหม”ขึ้นเป็นมรดกโลก และมีคุณ Zhao Fengyan เจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการด้านโลหะ และกระดูกมนุษย์ ช่วยเป็นล่ามตลอดช่วงการเสวนา ซึ่งหวังว่าเราคงจะได้ต้อนรับพวกเขาที่เมืองไทยบ้างในโอกาสต่อไป<br />Warm welcome at IICC-X (ICOMOS International Conservation Center), the Small Wild Goose Pagoda Park, Xi’an<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhN6TytRTH4YRLnDkXyf0TwfQQlj1aQrS2mrn0QhJhQeaPuWL1-_8cOUF65QpTExSZfdeu82o-DeWIDhTBLtoRTtQt7un1qkBGxrZU0MF8fE-tpzeuFTVFDfY_yAUE_t_YCclDrduqkd9k/s1600-h/iicc2.JPG"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372817439482629090" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhN6TytRTH4YRLnDkXyf0TwfQQlj1aQrS2mrn0QhJhQeaPuWL1-_8cOUF65QpTExSZfdeu82o-DeWIDhTBLtoRTtQt7un1qkBGxrZU0MF8fE-tpzeuFTVFDfY_yAUE_t_YCclDrduqkd9k/s320/iicc2.JPG" /></a></div></div></div></div></div></div></div></div></div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-29664478298812092732009-08-22T08:41:00.000-07:002009-08-22T08:49:49.714-07:00มรดกโลกทางวัฒนธรรม World Cultural Heritageหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง<br />ยูเนสโก (UNESCO) ศูนย์มรดกโลก (World Heritage Center) คณะกรรมการมรดกโลก<br />ผู้ประเมินมรดกโลกทางธรรมชาติ IUCN<br />ผู้ประเมินมรดกโลกทางวัฒนธรรม อิโคโมส (ICOMOS) หรือ สภาการโบราณสถานระหว่างประเทศ (International Council on Monuments and Sites)<br />กรมศิลปากร สมัครเป็นสมาชิก อิโคโมส และจัดตั้งอิโคโมสไทยขึ้นในลักษณะองค์กรอิสระสนับสนุนการทำงานของเครือข่ายด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม<br />กรมศิลปากร เป็นหนึ่งในคณะกรรมการมรดกโลกของไทย<br /><br />ข้อมูลแหล่งมรดกโลก (ถึงปี ๒๐๐๙)<br />ประเทศสมาชิกอนุสัญญา ๑๘๖ ประเทศ<br />แหล่งมรดกโลกขึ้นบัญชีแล้วใน ๑๔๘ ประเทศ<br />มีจำนวนแหล่งมรดกโลกทั้งสิ้น ๘๙๐ แหล่ง ประกอบด้วย มรดกโลกทางวัฒนธรรม ๖๘๙ แหล่ง<br />ทางธรรมชาติ ๑๗๖ แหล่ง และแบบผสม ๒๕ แหล่ง<br /><br />World Heritage List : Thailand<br />1. Historic City of Ayutthaya (1991)<br />2. Historic Town of Sukhotai and Associated Historic Towns (1991)<br />3. Thungyai-Huai Kha Khaeng Wildlife Sanctuaries (1991)<br />4. Ban Chiang Archaeological Site (1992)<br />5. Dong Phayayen-Khao Yai Forest Complex (2005)<br /><br />อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ<br />Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage<br />รับรองในการประชุมใหญ่สมัยสามัญครั้งที่ ๑๗ ของยูเนสโก ปารีส ฝรั่งเศส ค.ศ.๑๙๗๒ (พ.ศ.๒๕๑๕)<br />จากชื่อจะเห็นว่าเน้นเป้าหมายเพื่อการปกป้องคุ้มครอง<br />ข้อ ๑ คำจำกัดความ<br />มรดกทางวัฒนธรรม<br />a.Monuments b.Group of Buildings c.Sites<br />มีคุณค่า Outstanding Universal Value<br />คุณค่าทางสุนทรียภาพ ทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ทางวิชาการ และทางสังคม<br />สำหรับกลุ่ม b ได้พิจารณารวมถึง Groups of Urban Buildings<br />และสำหรับกลุ่ม c ได้พิจารณารวมถึงสิ่งที่เรียกว่า Cultural Landscape<br />(ขยายความตาม Operational Guidelines)<br />ข้อ ๔ – ๗ หลักประกันในการคุ้มครองป้องกัน การอนุรักษ์ มาตรการในการจัดการ การรักษาคุณค่า โดยเจ้าของมรดกทำเอง หรือ อาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ<br />ให้มีการกำหนด Core Zone, Buffer Zone (พื้นที่กันชน) และจัดทำแผนบริหารจัดการ<br />ข้อ ๘ คณะกรรมการมรดกโลก ๒๑ ชาติ<br />และที่ปรึกษา ได้แก่ ICCROM ICOMOS IUCN คณะกรรมการมรดกโลกของรัฐภาคี<br />(มีความรู้ความสามารถเชี่ยวชาญมากพอด้านมรดก)<br />ข้อ ๑๑ การบรรจุในบัญชีมรดกโลกต้องได้รับการยินยอมจากรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง<br />กรณีมีที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตมากกว่าหนึ่งรัฐ และต้องไม่เป็นเหตุให้เกิดการโต้แย้งจากรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง<br />บัญชีมรดกโลกในภาวะอันตราย World Heritage in Danger<br />(ปัจจุบัน มี ๓๑ แหล่ง โดยเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ๑๖ แหล่ง)<br />ข้อ ๑๔ สำนักงานคณะกรรมการมรดกโลก แต่งตั้งโดยผู้อำนวยการยูเนสโก<br />ข้ออื่นๆ เงินกองทุน และการขอความช่วยเหลือ ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ การอบรม<br /><br />"Operational Guidelines for the Implementation of the World Heritage Convention"<br /> แนวทางปฏิบัติ...Operational Guidelines... ระบุไว้ในข้อ ๖๔ ว่า<br />ในการเตรียม รายชื่อชั่วคราวของแหล่งที่จะเสนอ (Tentative List) เน้นการมีส่วนร่วม<br />ขอให้ประเทศภาคีอนุสัญญาฉบับนี้ดำเนินการร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนด้วย ไม่ว่าจะเป็น ผู้จัดการแหล่ง หน่วยการปกครองส่วนท้องถิ่นและภูมิภาค ชุมชนท้องถิ่น องค์กรอิสระ และภาคส่วนอื่นๆที่สนใจ<br />ข้อ ๗๗ Outstanding Universal Value (OUV)<br /><br />หลักเกณฑ์ในการพิจารณาคุณค่าความเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม<br />I. represent a masterpiece of human creative genius; or<br />เป็นผลงานชิ้นเอกที่แสดงอัจฉริยภาพในทางสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ หรือ<br /><br />II. exhibit an important interchange of human values over a span of time or within a cultural area of the world, on developments in architecture or technology, monumental arts, town-planning or landscape design; or <br />แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนคุณค่าของมนุษย์ข้ามช่วงเวลา หรือภายในเขตพื้นที่วัฒนธรรมใดใดในโลก ในด้านพัฒนาการทางสถาปัตยกรรม หรือ เทคโนโลยี งานศิลปะขนาดใหญ่ การวางผังเมือง หรืองานออกแบบทางภูมิทัศน์ หรือ<br /><br />III. bear a unique or at least exceptional testimony to a cultural tradition or to a civilization which is living or which has disappeared; or<br />เป็นพยานหลักฐานเพียงหนึ่งเดียว หรืออย่างน้อยเป็นอันที่สำคัญยิ่งของประเพณี หรือ อารยธรรมที่ยังดำรงอยู่ หรือที่ได้สูญหายไปแล้ว หรือ<br /><br />IV. be an outstanding example of a type of building or architectural or technological ensemble or landscape which illustrates (a) significant stage(s) in human history; or<br />เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของรูปแบบอาคาร หรือ สถาปัตยกรรม หรือเทคโนโลยี หรือ ภูมิทัศน์ ซึ่งแสดงถึงยุคสมัยใดที่สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ หรือ<br /><br />V. be an outstanding example of a traditional human settlement or land-use which is representative of a culture (or cultures), especially when it has become vulnerable under the impact of irreversible change; or<br />เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ตามประเพณี หรือ ของการใช้ที่ดินที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมหนึ่งหรือหลายวัฒนธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้กลายเป็นสิ่งที่เปราะบางภายใต้ความกดดันของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคืนสภาพได้อีก หรือ<br /><br />VI. be directly or tangibly associated with events or living traditions, with ideas, or with beliefs, with artistic and literary works of outstanding universal significance<br />มีความเกี่ยวข้องโดยตรงหรือสัมผัสได้กับเหตุการณ์ หรือประเพณีที่ยังสืบต่อกันมา หรือกับความคิด หรือความเชื่อ กับงานศิลปะ และวรรณกรรมที่มีความโดดเด่นสำคัญเป็นเลิศ<br />ข้อ ๗๘ มรดกที่มีคุณค่าจะต้องมีความเป็นของแท้ ความครบถ้วน และมีการคุ้มครอง แผนการจัดการที่เหมาะสม<br /><br />เกณฑ์ที่สามารถนำมาใช้ชี้วัดคุณค่าทางวัฒนธรรม<br />ความเป็นของแท้ (Authenticity) และความครบถ้วน (Integrity)<br />ความเป็นของแท้ ตามที่อ้างอิงจาก The Nara Document on Authenticity 1994 ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยสากลนับตั้งแต่การลงมติในที่ประชุมมรดกโลก ครั้งที่ ๑๘ ซึ่งจัดขึ้นที่ภูเก็ต ประเทศไทย ในปี ค.ศ.๑๙๙๔ นั้น ระบุว่า “การตัดสินใจความเป็นของแท้ สามารถเชื่อมโยงได้กับคุณค่าของโบราณสถานที่หลากหลายของแหล่งที่มาของข้อมูลด้วยเหตุที่ความเป็นของแท้นั้นขึ้นอยู่กับธรรมชาติของมรดกทางวัฒนธรรมและบริบททางวัฒนธรรม ซึ่งถูกนำเสนอในรูปแบบที่หลากหลายเช่นกัน ได้แก่ รูปทรง แนวคิดในการออกแบบ วัสดุ การใช้งาน ประโยชน์ใช้สอย ประเพณี และเทคนิค สถานที่ตั้ง และสภาพโดยรอบ จิตวิญญาณ และความรู้สึก การใช้แหล่งข้อมูลดังกล่าวจะนำมาซึ่งการศึกษามรดกทางวัฒนธรรมทั้งในเรื่องของศิลปกรรม ประวัติศาสตร์ สังคม และวิชาการ”<br />โดยทั่วไปการตรวจสอบระดับความเป็นของแท้ของมรดกสิ่งก่อสร้าง อาจแบ่งออกได้เป็น<br />ความเป็นของแท้ ของการออกแบบ รวมความถึงลักษณะหรือองค์ประกอบที่แสดงถึงการออกแบบทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วิศวกรรม และประโยชน์การใช้สอย ให้ตรวจสอบว่ารูปแบบ รูปทรง ลักษณะการออกแบบของมรดกสิ่งก่อสร้างนั้นๆ ยังคงเป็นแบบดั้งเดิม ยังมีความเป็นของแท้หรือไม่<br />ความเป็นของแท้ของวัสดุ ได้แก่วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอาคาร ให้ตรวจสอบว่ายังมีส่วนที่เป็นวัสดุเดิมของแท้ มากน้อยเพียงใด มีการใช้วัสดุใหม่โดยเคารพต่อวัสดุดั้งเดิมด้วยการทำให้สามารถแยกแยะได้หรือไม่<br />ความเป็นของแท้ของฝีมือช่าง ทั้งในส่วนของงานก่อสร้างและการตกแต่ง แสดงถึงเทคนิควิธีการของช่างที่ใช้ในการก่อสร้าง ประดับประดา ตลอดจนการอนุรักษ์ ให้ตรวจสอบว่าฝีมือช่างของแท้ยังคงเห็นได้อยู่หรือไม่ ในปริมาณมากน้อยเพียงใด<br />ความเป็นของแท้ของสภาพโดยรอบ (Setting) คือ แหล่งที่ตั้งและสภาพโดยรอบของมรดกสิ่งก่อสร้าง ยังคงมีความเชื่อมต่อกับช่วงเวลาของการก่อสร้างมรดกสิ่งก่อสร้าง ภูมิทัศน์ประวัติศาสตร์ หรือ เมืองโบราณนั้นหรือไม่ ให้ดูว่าสภาพโดยรอบนั้นยังมีลักษณะที่สัมพันธ์กับมรดกสิ่งก่อสร้างอยู่หรือไม่<br />นอกจากลักษณะทางกายภาพ ยังรวมถึงความเป็นของแท้ของ ประโยชน์ใช้สอย ประเพณี ภาษา วัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ จิตวิญญาณ ความรู้สึก <br /> ความครบถ้วน ในที่นี้หมายถึงความครบถ้วนขององค์ประกอบของโบราณสถานที่ผสานกลมกลืนกัน ทั้งที่เป็นสิ่งก่อสร้างและองค์ประกอบของสภาพโดยรอบที่มีความเกี่ยวข้องกันในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของคุณค่าทางวัฒนธรรมด้วย การจะพิจารณาว่า อาคารหรือมรดกสิ่งก่อสร้างนั้นๆ มีคุณค่าหรือไม่ นอกจากจะวัดด้วยความเป็นของแท้แล้วจึงต้องตรวจสอบด้วยว่าได้มีการพิจารณาครอบคลุมองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับแหล่งนั้นอย่างครบถ้วนหรือยัง มีการกำหนดขอบเขตพื้นที่โบราณสถานที่สอดคล้องกับคุณค่าของสิ่งก่อสร้างนั้นหรือไม่<br />คุณภาพของข้อมูล (Quality)<br /> นอกจากนี้จากกรณีของมรดกสิ่งก่อสร้างที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพไปจากรูปแบบดั้งเดิม ด้วยการดำเนินการในอดีตไม่ว่าจะเป็นการต่อเติมหรือรื้อถอนเพื่อการใช้สอย ตามสมัยนิยม หรือตามความต้องการของผู้ครอบครองในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตลอดจนการอนุรักษ์ หรือการปฏิสังขรณ์รื้อฟื้นรูปแบบดั้งเดิมกลับมาอีกครั้ง การที่จะพิจารณาว่าลักษณะแห่งการก่อสร้างของอาคาร มีประโยชน์ในทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ หรือ โบราณคดีหรือไม่นั้น ยังขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือและความครบถ้วนของข้อมูล การบันทึกสภาพ หลักฐานที่มีอยู่ก่อนการดำเนินการ คุณภาพของข้อมูลหลักฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์เพื่อรื้อฟื้นรูปแบบดั้งเดิม แนวคิดนี้เป็นที่ยอมรับโดยสากลดังปรากฏในเอกสารที่เกี่ยวข้องกับมรดกทางวัฒนธรรมและกฎบัตรต่างๆ เช่น “...(Reconstruction is acceptable if it is carried out on the basis of complete and detailed documentation on the original and to no extent on conjecture.)“ จาก ความเห็นของคณะกรรมการมรดกโลก ปรากฏใน Management Guidelines for World Cultural Heritage Sites<br /><br />มาตรการในการรักษาคุณค่าของมรดก<br />การคุ้มครอง (Protection) และ การจัดการ (Management)<br />มาตรการทางกฎหมาย ข้อบัญญัติ กฎระเบียบต่างๆ เช่น พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ข้อบัญญัติท้องถิ่นต่างๆ ระเบียบกรมศิลปากรว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถาน<br />การกำหนดขอบเขตพื้นที่ที่จะปกป้องคุ้มครอง Boundaries - Core Zone (สผ. เรียก พื้นที่สงวน)<br />Buffer Zone เขตพื้นที่โดยรอบพื้นที่มรดกที่มีการควบคุมเพื่อปกป้องคุณค่าของมรดก (สผ.เรียก พื้นที่อนุรักษ์)<br />การวางระบบการจัดการ เช่นการจัดทำแผนบริหารจัดการ แผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนา<br /><br />ข้อ ๑๑๙ (ข้อสุดท้าย) ย้ำในเรื่อง การใช้สอยอย่างยั่งยืน (Sustainable use) คำนึงถึงเรื่องการรักษาสภาพแวดล้อมและการสืบสานทางวัฒนธรรม<br /><br />มรดกโลกทางวัฒนธรรมของไทย<br />เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง (ศรีสัชนาลัย พิษณุโลก กำแพงเพชร)<br />Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns<br />ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามหลักเกณฑ์ข้อที่ I และ III<br />• เป็นเมืองหลวงแห่งแรกของสยามระหว่าง ศต.ที่ ๑๓-๑๔ ประกอบด้วยโบราณสถานอันสวยงามซึ่งแสดงถึงจุดเริ่มต้นของสถาปัตยกรรมไทย อารยธรรมยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรสุโขทัยได้รับอิทธิพลที่หลากหลายรวมถึงประเพณีโบราณของท้องถิ่น องค์ประกอบต่างๆนี้รวมกันเป็นรูปแบบ ศิลปะแบบสุโขทัย<br /><br />นครประวัติศาสตร์อยุธยา<br />Historic City of Ayutthaya<br />ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามหลักเกณฑ์ข้อที่ III<br />• อยุธยาก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๘๙๓ และเป็นเมืองหลวงของสยามแห่งที่สองต่อจากสุโขทัย อยุธยาถูกทำลายโดยพม่าในพุทธศตวรรษที่ ๒๔ หลักฐานที่คงเหลืออยู่ได้แก่ปรางค์และวัดวาอารามต่างๆซึ่งแสดงให้เห็นความเจริญ รุ่งเรืองของอยุธยาในอดีต<br /><br />แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จ.อุดรธานี<br />Banchiang Archaeological Site<br />ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามหลักเกณฑ์ข้อที่ III<br />• บ้านเชียงจัดว่าเป็นแหล่งอยู่อาศัยสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่าที่มีการค้นพบกันมา แสดงถึงพัฒนาการที่สำคัญด้านวัฒนธรรม สังคม และเทคโนโลยี บ้านเชียงยังแสดงถึงหลักฐานด้านการปลูกข้าวที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาครวมถึงการผลิตและการใช้เหล็ก<br /><br />การพ้นจากการเป็นมรดกโลก<br />จนถึงปัจจุบันมีเพียงสองแหล่งเท่านั้น มรดกโลกแรกที่ถูกถอดถอนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ<br />แหล่งอาศัยของโอริกซ์สายพันธุ์อาระเบีย ประเทศโอมาน<br />ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พ.ศ. ๒๕๓๗ และถูกถอดถอน พ.ศ. ๒๕๕๐ เนื่องจากประเทศโอมานมีนโยบายลดบริเวณเขตสงวนซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของตัวโอริกซ์สายพันธุ์อาระเบียลงถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์<br />ปัจจุบันโอริกซ์ - สัตว์ใกล้สูญพันธุ์คล้ายกวางและมีเขายาว ลดจำนวนลงจาก ๔๕๐ ตัวเหลือเพียง ๖๕ ตัว<br />มรดกโลกล่าสุดที่ถูกถอดถอนในปี พ.ศ.๒๕๕๒ นี้ คือ ลุ่มแม่น้ำเอลเบเมืองเดรสเดน ประเทศเยอรมัน<br />ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พ.ศ.๒๕๔๗ ในลักษณะภูมิทัศน์วัฒนธรรม (Cultural Landscape) เนื่องจากโครงการก่อสร้างสะพานขนาด ๔ เลน เพื่อแก้ปัญหาการจราจรในพื้นที่<br /><br />Tentative List : Thailand<br />Phuphrabat Historical Park (01/04/2004) อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จ.อุดรธานี<br />เสนอตามหลักเกณฑ์ II, III, IV, VI<br /> 2. Phimai, its Cultural Route and the Associated Temples of Phanomrung<br />and Muangtam (01/04/2004)<br />พิมาย เส้นทางวัฒนธรรม และปราสาทที่เกี่ยวข้อง พนมรุ้ง และเมืองต่ำ<br />เสนอตามหลักเกณฑ์ I, II, III, IV, VI<br /><br />แนวทางล่าสุดทางด้านการจัดการมรดกวัฒนธรรม<br />นอกเหนือจากแนวทางตามกฎบัตรการอนุรักษ์โบราณสถาน (Monuments and Sites) ที่รู้จักในนามของกฎบัตรเวนิช (Venice Charter) ที่ยึดถือกันมาแต่เดิม<br />กฎบัตรอิโคโมสสากลที่รับรองในการประชุมใหญ่สามัญครั้งที่ ๑๖ ของอิโคโมส ณ เมืองควิเบค กันยายน ๒๕๕๑<br />The ICOMOS Charter for the Interpretation and Presentation of Cultural Heritage Sites<br />กฎบัตรอิโคโมสสำหรับการสื่อความหมายและการนำเสนอแหล่งมรดกวัฒนธรรม<br />เน้นการสร้างความเข้าใจในคุณค่าของมรดกวัฒนธรรม ที่ยังอยู่บนพื้นฐานของความเป็นของแท้ ไม่ใช่การสร้างหลักฐานใหม่ที่ไม่มีอะไรอ้างอิง<br />The ICOMOS Charter on Cultural Routes<br />กฎบัตรอิโคโมสว่าด้วยเส้นทางวัฒนธรรม<br />เป็นแนวทางที่ควรนำมาใช้ในการพิจารณาเพื่อรักษาคุณค่าของมรดกวัฒนธรรมประเภทเส้นทางวัฒนธรรม ที่ได้เชื่อมโยงแหล่งมรดกที่มีคุณค่า เนื้อหา ประวัติร่วมกัน ทำให้เกิดคุณค่าความสำคัญในภาพรวมมากยิ่งขึ้น<br />มีหัวข้อดังนี้<br />Research การวิจัย<br />Funding การหาทุน<br />Protection, Preservation/Conservation การปกป้องคุ้มครอง การอนุรักษ์<br />Sustainable Use – Relationship to Tourist Activities การใช้สอยอย่างยั่งยืน - ความสัมพันธ์กับกิจกรรมการท่องเที่ยว<br />Management การบริหารจัดการ<br />Public Participation การมีส่วนร่วมสาธารณะVasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-41809221873488623682009-08-22T04:03:00.000-07:002009-08-22T08:38:42.100-07:00จาก ICOMOS / อิโคโมสไทย สู่ สมาคมอิโคโมสไทย<img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 273px; DISPLAY: block; HEIGHT: 267px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372742784948846786" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJP75mM9MtgvRNYq9RBvef4aM4F9_8kHpsUhJ-WM6rSLXJssSSE1uZHFixLQ7U2Y1U2ytcOqNn2T4NLsnBQI-QS00Ts9EL_2ZEXaPhaeOwOqdKwfDytMdLu7oApWvrVbn2cP4KrbkU8RA/s320/icomos+th.jpg" />22 มิถุนายน พ.ศ.2552 เป็นวันที่ สมาคมอิโคโมสไทย ได้จดทะเบียนนิติบุคคลอย่างเป็นทางการ ในฐานะ “องค์กรอิสระเพื่อสาธารณประโยชน์ของโบราณสถานและมรดกวัฒนธรรมสอดคล้องตามแนวทางของอิโคโมส ในอันที่จะปกปักรักษามรดกทางวัฒนธรรมของชาติไว้ ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับโลก” ถือเป็นพัฒนาการอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของอิโคโมสไทย ที่จะนำไปสู่การทำงานในลักษณะเครือข่ายขององค์กรอิสระที่มีประสิทธิภาพ คล่องตัวยิ่งขึ้น พร้อมที่จะประกอบกิจกรรมทางวิชาการด้านการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะมาทบทวนกันเล็กน้อยว่ากว่าจะมาถึงในวันนี้ อิโคโมสไทยมีความเป็นมาอย่างไร<br /><br />เริ่มต้นที่ ICOMOS<br />ICOMOS เป็นชื่อย่อมาจากคำว่า International Council on Monuments and Sites หรือที่เป็นชื่อในภาษาไทยว่า สภาการโบราณสถานระหว่างประเทศ คือ องค์กรวิชาชีพทางมรดกทางวัฒนธรรมในระดับสากล ที่มีเป้าหมายการทำงาน เพื่อการอนุรักษ์และปกป้องคุ้มครองโบราณสถานในลักษณะขององค์กรอิสระ NGO<br />อิโคโมสก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2508 ณ กรุงวอร์ซอว์ ประเทศโปแลนด์ สืบเนื่องมาจากการประกาศกฎบัตรเพื่อการอนุรักษ์และบูรณะโบราณสถาน “เวนิชชาเตอร์” เพื่อเผยแพร่หลักการและความรู้ด้านเทคนิคการอนุรักษ์ปัจจุบันสำนักงานของฝ่ายเลขานุการตั้งอยู่ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการของ UNESCO และคณะกรรมการมรดกโลก ในการประเมินคุณค่าและศักยภาพของโบราณสถานที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นมรดกโลกทุกแหล่ง ก่อนจะนำเสนอต่อ UNESCO เพื่อประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม<br />นอกจากนี้ยังมีบทบาทหน้าที่ที่สำคัญได้แก่<br />การให้การช่วยเหลือในการแก้ปัญหา หรือสนับสนุนโครงการในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ขององค์กรต่าง ๆ ทั้งในระดับชาติ และระดับระหว่างประเทศ<br />ให้คำแนะนำ และเป็นผู้กำหนดข้อตกลงระดับระหว่างประเทศ กฎบัตร และแนวทางปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อการปฏิบัติทางด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในแนวทางที่ดีที่สุด<br />เป็นเวทีในระดับระหว่างประเทศในการเจรจาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ผ่านทางเว็บไซท์ จดหมายข่าว วารสารทางวิชาการ และการจัดการประชุม สัมมนาต่าง ๆ<br />และเป็นเครือข่ายของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับมรดกทางวัฒนธรรม ด้วยการรวมกลุ่มของคณะกรรมการระดับชาติ (National Committee - NC) ของประเทศสมาชิกชาติต่าง ๆ มากกว่า 100 ประเทศ ที่จะได้มีการแลกเปลี่ยนแบ่งปันผู้เชี่ยวชาญ และประสบการณ์ซึ่งกันและกันโดยตรง หรือจากการรวมกลุ่มเฉพาะทางในรูปของคณะกรรมการวิชาการระหว่างประเทศ (International Scientific Committee - ISC)<br /><br />อิโคโมสไทยคือคณะกรรมการระดับชาติ<br />อิโคโมสไทย (ICOMOS Thailand) จึงได้แก่ตัวแทนของประเทศไทย ในฐานะคณะกรรมการระดับชาติ (National Committee) คณะกรรมการหนึ่งของ ICOMOS จากการที่กรมศิลปากรได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกประเภทสถาบันของอิโคโมสและจัดตั้งอิโคโมสไทยขึ้น เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2528 ตามมติคณะรัฐมนตรี มีนายชวน หลีกภัยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น เป็นประธานท่านแรก และมีนายทวีศักดิ์ เสนาณรงค์ อธิบดีกรมศิลปากร เป็นเลขานุการ โดยมีชื่อเรียกว่า “คณะกรรมการโบราณสถานแห่งชาติ” ประกอบด้วยกรรมการจำนวน 25 ท่าน พร้อมด้วยภารกิจแรก ได้แก่ การประกาศระเบียบกรมศิลปากรว่าด้วยการอนุรักษ์โบราณสถาน พ.ศ. 2528 หรือที่เรียกว่า Bangkok Charter ตามแนวทางของกฎบัตรเวนิช โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งคณะกรรมการฯและการร่างระเบียบกรมศิลปากรฯขึ้นได้แก่ ดร.สุวิชญ์ รัศมิภูติ ซึ่งต่อมาได้เป็นอธิบดีกรมศิลปากร และรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjuBRNXoQwNXfKrtj6dfYAKQC4lg7VGY1UfSmHz9RfhiSGgnxIm407fXtYieRk1UHnpi895Dgq20kXm-5BpA6olktP94uvX7RyiQyJ0znaEsGWAH2l_J8NXQChtKNz-tZ0iCErs9B5_npU/s1600-h/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A.JPG"><img style="WIDTH: 144px; HEIGHT: 200px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372804169338977554" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjuBRNXoQwNXfKrtj6dfYAKQC4lg7VGY1UfSmHz9RfhiSGgnxIm407fXtYieRk1UHnpi895Dgq20kXm-5BpA6olktP94uvX7RyiQyJ0znaEsGWAH2l_J8NXQChtKNz-tZ0iCErs9B5_npU/s200/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A.JPG" /></a>ดร.สุวิชญ์ รัศมิภูติ<br /><div><div><div><div><div><div>ในปี พ.ศ.2532 นายนิคม มูสิกะคามะ ผู้อำนวยการกองโบราณคดี ในขณะนั้น ได้เสนอขอความเห็นชอบให้ปรับคณะกรรมการใหม่ เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงาน และการประสานงานกับ ICOMOS โดยลดจำนวนกรรมการลงเหลือ 12 ท่าน และเปลี่ยนชื่อเป็น “คณะกรรมการโบราณสถานแห่งชาติ สำหรับสภาโบราณสถาน และโบราณคดีระหว่างประเทศ (ICOMOS)” มีปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน และตัวท่านเป็นเลขานุการ ในปี พ.ศ. 2542 ได้มีการปรับปรุงคณะกรรมการเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงานครั้งที่ 2 ใช้ชื่อว่า “คณะกรรมการโบราณสถานแห่งชาติว่าด้วยสภาการโบราณสถานระหว่างประเทศ (ICOMOS)” มี ดร.สุวิชญ์ รัศมิภูติ เป็นประธาน และผู้อำนวยการสำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเป็นเลขานุการ </div><div>ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 มีการปรับปรุงคณะกรรมการฯอีกครั้งโดยได้เพิ่มเติมคณะกรรมการให้ครอบคลุมสายวิชาชีพต่างๆที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้น ประกอบด้วย ที่ปรึกษา คณะกรรมการ เหรัญญิก และผู้ประสานงานฝ่ายเลขานุการรวม 22 คน โดยมี ดร.สุวิชญ์ รัศมิภูติ และปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นที่ปรึกษา มีนายอารักษ์ สังหิตกุล อธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้น เป็นประธาน สำนักโบราณคดีเป็นฝ่ายเลขานุการ </div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiGpqncxyaqBdACl-r_mB3V6Psu5VcE15QqPPEteNzYTn5xwRYGVspAmEfX9o3Y9vqIwkOYtMpuvneiFUs3C9aAshknczDmGhNPgsZu4tJYUcbXpR8lUUC9-FbYlKX63gniSCnW4EoOzZA/s1600-h/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C.JPG"><img style="WIDTH: 200px; HEIGHT: 146px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372805936447833330" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiGpqncxyaqBdACl-r_mB3V6Psu5VcE15QqPPEteNzYTn5xwRYGVspAmEfX9o3Y9vqIwkOYtMpuvneiFUs3C9aAshknczDmGhNPgsZu4tJYUcbXpR8lUUC9-FbYlKX63gniSCnW4EoOzZA/s200/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C.JPG" /></a>นายอารักษ์ สังหิตกุล<br />โดยคณะกรรมการชุดนี้นั่นเองที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายการเปิดรับสมัครสมาชิกเพิ่มเติม เรียกชื่อองค์กรว่า “อิโคโมสไทย” เพื่อการสร้างเครือข่ายของการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมที่ไม่จำกัดอยู่เพียงในหน่วยงานราชการ เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง หลังจากที่อิโคโมสไทยได้ทำการประชาสัมพันธ์ เปิดรับสมัครสมาชิกขึ้นพร้อมด้วยการเปิดตัวใน การประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2547 ที่วังลดาวัลย์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และได้ประกอบกิจกรรมต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง เน้นให้ทุกภาคส่วนที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วม เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อิโคโมสไทยได้เติบโตขึ้น จากสมาชิกเพียงไม่กี่คนกลายมาเป็นประมาณ 400 คนในปัจจุบัน ในหลากหลายสาขาวิชาชีพและจากทุกรุ่นทุกวัย<br />ในการประชุมใหญ่สามัญครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2550 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังได้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการอิโคโมสไทยขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นคณะกรรมการในวาระปี 2551 – 2553 </div><div> </div><div></div><div>สู่สมาคมอิโคโมสไทย<br />จากการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการอิโคโมสไทยชุดแรกที่มาจากการเลือกตั้งนี้เองที่นำมาซึ่งแนวความคิดของการจดทะเบียนนิติบุคคลในนามของ “สมาคมอิโคโมสไทย” เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการองค์กรซึ่งเป็นองค์กรอิสระเพื่อสาธารณประโยชน์ เป็นผู้ประสานงานในการประกอบกิจกรรมทางวิชาการ และนิติกรรมต่างๆ ให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยที่ประชุมมีมติให้เรียนเชิญ นายเดโช สวนานนท์ ที่ปรึกษาอิโคโมสไทย อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร 2 สมัย และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 มาดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯท่านแรก พร้อมด้วยคณะกรรมการสมาคมชุดก่อตั้งรวม 9 ท่าน ซึ่งในลำดับต่อไปตำแหน่งนายกสมาคมก็จะมาจากการเลือกตั้งด้วยเช่นกัน โดยมีคณะกรรมการอิโคโมสไทยทำหน้าที่เป็นคณะที่ปรึกษาทางวิชาการต่อไป และสมาชิกอิโคโมสไทยที่มีอยู่เดิมให้ถือว่าเป็นสมาชิกสมาคมอิโคโมสไทยทั้งหมด<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEga4o5sJzSwPJ_NOLpQiIeYEqEwSUXSuMv6KQtPtoRuRBleSQAiLM1mG14ApA-3Vs-73OauVnunTbhiUjv_JK9LAH9BqsTPlueJCZ0Cuk0tgKIIG9M8hB_iKcND3b5VMxxBZZekFTuoZoQ/s1600-h/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B9%92.JPG"><img style="WIDTH: 200px; HEIGHT: 190px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372807291926336850" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEga4o5sJzSwPJ_NOLpQiIeYEqEwSUXSuMv6KQtPtoRuRBleSQAiLM1mG14ApA-3Vs-73OauVnunTbhiUjv_JK9LAH9BqsTPlueJCZ0Cuk0tgKIIG9M8hB_iKcND3b5VMxxBZZekFTuoZoQ/s200/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B9%92.JPG" /></a></div><div>นายเดโช สวนานนท์ นายกสมาคมอิโคโมสไทยคนแรก</div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNjSXJowRChLaNcr9WIK3guWEFVh14pSRd6KGafc3K9IiTT_eMYx1XkVptlsUBIaaJquqPBCpirbO0STf7HA_2M2qi8RkqpE5HEegYPUaHkN2a4stJ4D4KikPs4HOxqC8U0Mu5ucsHDgk/s1600-h/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81.JPG"><img style="WIDTH: 162px; HEIGHT: 206px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372809490641836642" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNjSXJowRChLaNcr9WIK3guWEFVh14pSRd6KGafc3K9IiTT_eMYx1XkVptlsUBIaaJquqPBCpirbO0STf7HA_2M2qi8RkqpE5HEegYPUaHkN2a4stJ4D4KikPs4HOxqC8U0Mu5ucsHDgk/s200/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81.JPG" /></a> </div><div>นายบวรเวท รุ่งรุจี และ ผศ.ดร.ยงธนิศร์ พิมลเสถียร อุปนายก</div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKNXrJzFetSdgzdaSoftWtdIN5LLAIixtht7JcxNz1qYxwjREzQVdFZF-0LNZmdHrL-dRiK0VVFelwo3mkEIIgxPuEaaZRIo7kFQj4N7MI3ONQQAtIGV9eyaj9OP3GZwZc9_woi390LpI/s1600-h/%E0%B9%80%E0%B8%AB.JPG"><img style="WIDTH: 161px; HEIGHT: 200px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372810463260172642" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKNXrJzFetSdgzdaSoftWtdIN5LLAIixtht7JcxNz1qYxwjREzQVdFZF-0LNZmdHrL-dRiK0VVFelwo3mkEIIgxPuEaaZRIo7kFQj4N7MI3ONQQAtIGV9eyaj9OP3GZwZc9_woi390LpI/s200/%E0%B9%80%E0%B8%AB.JPG" /></a></div><div>นางภารนี สวัสดิรักษ์ เหรัญญิก<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgD0LEEbe6pgkCBGCSoNq1JQu1E5x33ZqE6fusNj-0_7bwtQjwrgVd6SVPji_-jwdB9krGDMzFw0XPx32zv1ApOOgcONXQhhpj4P1A9JI4bTgVxyFW31DWiNunXCeUCGiqaDzd5XztuQ5k/s1600-h/Copy+of+DSC00233.JPG"><img style="WIDTH: 200px; HEIGHT: 164px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5372807283866292034" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgD0LEEbe6pgkCBGCSoNq1JQu1E5x33ZqE6fusNj-0_7bwtQjwrgVd6SVPji_-jwdB9krGDMzFw0XPx32zv1ApOOgcONXQhhpj4P1A9JI4bTgVxyFW31DWiNunXCeUCGiqaDzd5XztuQ5k/s200/Copy+of+DSC00233.JPG" /></a></div><div>เมื่อได้รับหลักฐานการจดทะเบียนสมาคม</div><div><br /><div>วสุ โปษยะนันทน์<br />เลขาธิการ สมาคมอิโคโมสไทย</div></div></div></div></div></div></div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5751518419437537373.post-4151020935784010152009-03-29T06:58:00.000-07:002009-03-29T08:08:59.380-07:00ทำบุญ ไหว้พระ ที่วัดเทพธิดารามสืบเนื่องจากการที่ผมเองได้รับมอบหมายจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้เป็นตัวแทนในการจัดทำโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ในนามของกรรมาธิการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ด้านสถาปัตยกรรมไทยประเพณี จึงได้เกิดเป็นโครงการอนุรักษ์หอพระไตรปิฎกวัดเทพธิดารามวรวิหารขึ้นโดยมีผมเองทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะทำงาน<br /><br />ขั้นตอนแรกเป็นการเชิญชวนให้สมาชิกของสมาคมฯ (ได้แก่ผู้ที่ประกอบวิชาชีพทางด้านสถาปัตยกรรม) มาเป็นอาสาสมัคร ในการสำรวจ ทำแบบ บูรณะโบราณสถานแห่งนี้ นอกจากจะเป็นการสละแรงงานและเวลาเพื่อการกุศลแล้ว ก็จะได้มาเรียนรู้การทำงานด้านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม ให้เข้าใจว่านี่ก็คือภาระกิจหนึ่งของสถาปนิกเช่นเดียวกัน การอนุรักษ์ที่ดีต้องการการออกแบบเขียนแบบที่ดีด้วยไม่ต่างจากการออกแบบอาคารใหม่ และเรายังต้องเรียนรู้การทำงานกับคนอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ หรือนักโบราณคดี แสดงให้เห็นว่างานอนุรักษ์นั้นเป็นเรื่องของสหวิชาการที่ต้องมาทำงานร่วมกัน<br /><br />ตอนนี้การเก็บข้อมูลทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมเพื่อจัดทำแบบบูรณะโดยอาสาสมัครของเราก็ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว รวมทั้งการนำเสนอแบบบูรณะเพื่อขออนุญาตดำเนินการจากกรมศิลปากร เนื่องจากเป็นโบราณสถานของชาติ และการเก็บข้อมูลในวิชาชีพอื่นๆก็ได้ดำเนินการไปแล้วเช่นเดียวกัน ขั้นตอนต่อไปก็คือการนำเสนอผลงานการสำรวจทำแบบบูรณะ และประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนให้สาธารณชนจากทุกวิชาชีพเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้ด้วยการทำบุญ บริจาคเงินเข้ามาสมทบในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ร่วมอนุรักษ์และสืบสานงานสถาปัตยกรรมไทย<br /><br />ในโอกาสนี้เลยขออาราธนาพระพุทธเทววิลาส หรือ หลวงพ่อขาว พระประธานในพระอุโบสถวัดเทพธิดาราม พร้อมด้วยคำบูชาตามเอกสารของทางวัดมาฝากเพื่อเป็นสิริมงคล<br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsT54BDTYINOi06wS_xxFnyO8Z0pQ2XrOQuYztb1adWjeK9pxoCLAJSTv0myE0uTaPkzwnrBrUYB_dOqvY9iD0DclDLW9phCfehjxREfUnhNWCm1DN3uWX0gkDU_X2nWBCaPZzDmxxWpg/s1600-h/ex+asa002.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5318609252658085810" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 218px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsT54BDTYINOi06wS_xxFnyO8Z0pQ2XrOQuYztb1adWjeK9pxoCLAJSTv0myE0uTaPkzwnrBrUYB_dOqvY9iD0DclDLW9phCfehjxREfUnhNWCm1DN3uWX0gkDU_X2nWBCaPZzDmxxWpg/s320/ex+asa002.jpg" border="0" /></a><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5318609978230071874" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 218px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxK69AlpEcSL-vIdCX5hJE6lXhQVL1FhqNJv91XcAmlOI5Cg5iRHxziDTqqg5R7fjf1aAInlqXi83mnCgQZC0J7TZEvPIc9j87Li-VF-jBcipijZ5d9-BDduCmEVS_VzuyHTRBNzZZib0/s320/ex+asa003.jpg" border="0" />สำหรับผู้ที่สนใจและมีจิตศรัทธาสามารถติดตามชมผลงานของพวกเราได้ในงานสถาปนิก 52 อิมแพค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน ถึง 3 พฤษภาคม ในนิทรรศการ "อาษา อาสา สถาปัตยกรรมไทย" ที่โถงทางเข้าหน้างาน ที่เรายังจะได้จำลองแบบหอไตรมาให้ชมพร้อมด้วยบรรยากาศของงานบุญแบบไทยๆ ต้นผ้าป่าอาษาสามัคคี (อาษา ASA คือคำย่อของสมาคมสถาปนิกสยามฯ) โดยงานในปีนี้ใช้ชื่อว่า revision ตั้งทิศ ปรับทัศน์ การที่เราได้มีโครงการอนุรักษ์และสืบสานสถาปัตยกรรมไทยร่วมกันอย่างนี้ ก็อาจเรียกได้ว่าป็นการปรับทัศน์ของสังคมเหมือนกัน ให้เห็นว่า "การอนุรักษ์และสืบสานสถาปัตยกรรมไทยคือหน้าที่ของสถาปนิกไทย" หลังจากที่เรามัวแต่หลงเพลินตามกระแสโลกาภิวัฒน์กันมาโดยตลอด<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5318610248571374658" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 233px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6NwFeJAJs8r13ulyPOc9Ow1EaEcv4MUjrkkCVfHoQcajqUuXD9DTNj4IUxFNmfEzlcUuZ7R1Xk2bLHXPVfpHwbcVbU4DXoeg4_WG0d5iXN_WF_tLE3uGOozKSs13-DT-FjNULf3A3uhQ/s320/ex+asa001.jpg" border="0" />แต่ถ้าใจร้อนอยากรีบทำบุญโดยยังไม่ต้องชมนิทรรศการ ก็สามารถโอนเงินมาที่บัญชี "วัดเทพธิดารามวรวิหาร(บูรณะหอพระไตรปิฎกคณะ5)" เลขบัญชี 037-2-37600-7 ธ.กสิกรไทย สาขาถนนมหาไชย ท่านที่ต้องการใบอนุโมทนาบัตร โปรดติดต่อ 02-628-8288</div><div> </div><div>หลังจากที่ผมได้เขียนบทความเกี่ยวกับโครงการนี้ในคอลัมน์ "ทัศนาสถาปัตย์" หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ก็ได้มีผู้ใจบุญที่มีจิตศรัทธาโอนเงินเข้ามากันมาก ขณะนี้ก็ได้หลายหมื่นแล้ว เลยขอถือโอกาสนี้แสดงมุทิตาจิต อนุโมทนาที่เราได้มีโอกาสได้ทำบุญร่วมกันในครั้งนี้ด้วย และหวังว่าเงินหลักล้านตามที่จำเป็นจะต้องใช้ในการบูรณะหอพระไตรปิฎก คงจะเห็นกันในงานสถาปนิก 52 นี้<br /><br /><div></div></div>Vasu Poshyanandanahttp://www.blogger.com/profile/14101082496680556168noreply@blogger.com0