วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประเด็นการวิเคราะห์เบื้องต้นแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร


ความนำ
ราชอาณาจักรกัมพูชาได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๕ และนำเสนอเข้าวาระการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ ๓๑ ณ เมืองไครสเชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ซึ่งได้ระบุเงื่อนไขไว้ ๓ ประการว่า หากแม้นกัมพูชามีความเข้มแข็งในการอนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร หากแม้นกัมพูชาเสนอแผนการจัดการอนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร ภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์๒๕๕๑ และหากแม้นราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทยสนับสนุนและประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ราชอาณาจักรกัมพูชาจักประสบความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ ๓๒ ณ เมืองควิเบค ประเทศแคนาดา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยนายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีประกาศว่าได้ดำเนินการจนบรรลุผลดีมากยิ่ง กว่าเงื่อนไข ปราสาทพระวิหารได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมรดกโลกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยเกณฑ์คุณสมบัติข้อที่ ๑ คือ คุณค่าความโดดเด่นเป็นสากลทางด้านการเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งความสร้างสรรค์ของมนุษยชาติ โดยที่ข้อทักท้วงและข้อเสนอในการขึ้นทะเบียนร่วมจากราชอาณาจักรไทยไม่ประสบผลสำเร็จ
ที่ประชุมระบุว่าหากมีผลงานวิจัยทางโบราณคดีที่อาจเกี่ยวเนื่องกับขอบเขตข้ามพรมแดนของแหล่งแนวใหม่ จักต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองฝ่าย ฝ่ายกัมพูชาจักต้องประสานกับฝ่ายไทยในการปกป้องคุ้มครองคุณค่าของสมบัติวัฒนธรรม โดยคำนึงถึงประชาชนของทั้งสองฝ่ายรอบอาณาบริเวณ ที่ได้เชิดชูบูชาปราสาทพระวิหารมาช้านาน
นอกจากนี้ที่ประชุมขอให้ฝ่ายกัมพูชาจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานนานาชาติเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหาร(ICC) โดยให้ราชอาณาจักรไทยเป็นหนึ่งในคณะกรรมการด้วย
ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ ๓๓ ณ เมืองเซบิย่า ประเทศสเปน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ราชอาณาจักรกัมพูชาจะต้องเสนอแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารและเขตกันชนรวมทั้งแผนที่ให้กับคณะกรรมการมรดกโลกภายในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
และในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ ๓๔ ณ กรุงบราซิเลีย ประเทศบราซิล คณะกรรมการมรดกโลกรับแผนการบริหารจัดการของราชอาณาจักรกัมพูชาและจะพิจารณาแผนนี้ในการประชุม สมัยที่ ๓๕ ในปี ๒๕๕๔

ข้อพิจารณา
หากพิจารณาจากเอกสารที่ราชอาณาจักรกัมพูชานำเสนอ มีข้อทักท้วงที่สามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเด็นซึ่งเกี่ยวข้องกับมติของคณะกรรมการมรดกโลก ดังนี้
๑ แผนการบริหารจัดการไม่ส่งเสริมคุณค่าความโดดเด่นที่เป็นสากล
๒ แผนบริหารจัดการไม่ส่งเสริมให้มีคณะกรรมการประสานงานนานาชาติเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหาร
๓ แผนบริหารจัดการยังคงแสดงให้เห็นถึงปัญหาในเรื่องเขตแดน

ประเด็นที่ ๑ แผนการบริหารจัดการไม่ส่งเสริมคุณค่าความโดดเด่นที่เป็นสากล {Outstanding Universal Value – (OUV)} ในเรื่องคุณค่าที่แท้จริงและความครบถ้วนของแหล่ง (Integrity)

· ในบทที่ ๒ ของแผนการจัดการได้เขียนคำอธิบายในวงเล็บหลังชื่อปราสาทพระวิหารว่า “the temple of the sacred mountain” ทั้งๆที่ไม่ใช่ความหมายหรือคำแปลของชื่อปราสาทแต่อย่างใด อาจจะเพี้ยนมาจากความหมายของเขาพระวิหารที่หมายถึงภูเขาที่เป็นที่ตั้งของศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ แต่ข้อเท็จจริงในเรื่องชื่อนี้ สืบเนื่องมาจากการที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้เสด็จมายังปราสาทแห่งนี้เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๒ ได้จารึกพระนามและร.ศ.ที่ค้นพบปราสาทไว้ที่เป้ยตาดี ทรงขนานนามปราสาทว่า ปราสาทพรหมวิหาร ซึ่งเรียกกันทั่วไปต่อมาว่า ปราสาทพระวิหาร[1] และแปลเป็นสำเนียงภาษาเขมรว่า Preah Vihear ในขณะที่ชื่อดั้งเดิมของปราสาทตามจารึกได้แก่ ศีรศิขเรศวร แปลว่า ภูเขาแห่งพระอิศวร
· ในแผนการจัดการนี้มีการแสดงความสัมพันธ์ของปราสาทพระวิหารกับแหล่งมรดกอื่นทั้งในราชอาณาจักรกัมพูชาและในภูมิภาคใกล้เคียง ในฐานะส่วนยอดสามเหลี่ยมของพื้นที่วัฒนธรรมสมัยเมืองพระนครและสมัยก่อนเมืองพระนคร นอกเขตประเทศกัมพูชายังได้แสดงความเชื่อมโยงจากเมืองพระนครมาสู่ปราสาทพระวิหารต่อไปยังปราสาทวัดพูใน สปป.ลาว และมิเซินในเวียดนาม ทั้งที่ตามหลักฐานทางโบราณคดี เส้นทางโบราณจากเมืองพระนครไปยังปราสาทวัดพูไม่ได้ผ่านทางปราสาทพระวิหาร[2] (ระหว่างพระวิหารและวัดพูน่าจะมีการเชื่อมต่อกันทางแม่น้ำมูลและแม่น้ำโขงที่อยู่ในด้านพื้นที่ของประเทศไทยมากกว่า) และทั้งๆที่มีแหล่งโบราณสถานสำคัญอื่นๆซึ่งเชื่อมโยงกับเมืองพระนครที่อยู่ในประเทศไทย เช่น ปราสาทพิมาย ปราสาทพนมรุ้ง กลับไม่ได้มีการเชื่อมโยงแสดงความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม ที่จะนำมาพัฒนาทางด้านการท่องเที่ยวได้ เป็นการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการขึ้นมาอย่างไม่ครบถ้วนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการไม่ให้ประเทศไทยเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
· ในประเทศไทยมีหลักฐานของอารยธรรมขอมที่เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยเจนละในยุคก่อนเมืองพระนคร(ก่อนการก่อตั้งเมืองพระนครเป็นเมืองหลวง) ร่วมสมัยกับปราสาทวัดพู เรื่อยมาจนถึงยุคเมืองพระนคร และยังเป็นถิ่นฐานของราชวงศ์มหิธรปุระซึ่งได้ไปครองราชย์ที่เมืองพระนคร[3] ดังเช่นพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ ผู้สร้างปราสาทนครวัด หรือพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ผู้สร้างนครธม ก็อยู่ในราชวงศ์นี้ แม้แต่พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ผู้สร้างปราสาทพระวิหารเองก็ทรงมาจากราชวงศ์ใหม่ที่มีฐานอำนาจจากนอกพื้นที่ราชอาณาจักรกัมพูชาเช่นเดียวกัน[4] จึงมีการสร้างปราสาทขอมในบริเวณตั้งแต่แนวทิวเขาพนมดงรักขอบสูงสุดของที่ราบสูง เป็นต้นน้ำที่ไหลลงมารวมกันเป็นแม่น้ำมูลก่อนจะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำชีออกสู่แม่น้ำโขง เกิดเป็นเมืองและชุมชนโบราณมากมาย ในดินแดนที่เรียกว่าเขมรสูง แม้แต่ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับปราสาทพระวิหารนี้ก็มีเมืองโบราณและปราสาทหินหลายหลัง(๑๑ แหล่ง)[5] เช่น ปราสาทสระกำแพงใหญ่ ซึ่งมีจารึกที่ข้อความชี้ชัดว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับปราสาทพระวิหาร และในปัจจุบันก็ยังมีประชาชนที่สืบเชื้อสายและวัฒนธรรมจากอดีตพูดภาษาเขมรในพื้นที่ ข้อมูลทั้งหมดนี้สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนในดินแดนอิสานใต้และปราสาทพระวิหาร จึงเหมือนว่าเป็นการละเลยข้อเท็จจริงดังกล่าวในแผนการจัดการนี้
· ข้อมูลการตีความวิเคราะห์ความสำคัญของปราสาทที่กล่าวถึงเฉพาะในทิศทางที่เป็นพื้นที่ของกัมพูชาเท่านั้น เป็นการดำเนินการทางวิชาการที่ไม่ครบถ้วน ที่อาจมีนัยตามความวัตถุประสงค์ที่จะไม่ให้มีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซึ่งหากย้อนไปดูการตีความในช่วงแรกโดยผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสจะเห็นว่าเคยให้ความสำคัญกับสัญลักษณ์ของภูเขา ๕ ยอด ที่หมายถึงเขาพระสุเมรุ โดยมีเขาพระวิหารเป็นยอดสูงสุดตรงกลาง ต่อมาเมื่อผู้เชี่ยวชาญอินเดียได้เข้ามาร่วมในคณะก็เปลี่ยนเป็นเขา ๓ ยอดตามลักษณะตรีศูลอาวุธของพระศิวะและกล่าวว่าแนวแกนเหนือ-ใต้ ของปราสาทหมายถึงส่วนด้ามของตรีศูล[6] และล่าสุดตามข้อมูลในแผนการจัดการกลับกล่าวว่าภูเขา ๓ ยอดได้แก่ เขาพระวิหาร ภูมะเขือ และเขาสัตตะโสม หมายถึง ตรีมูรติ ได้แก่ พระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม แสดงให้เห็นถึงความไม่น่าเชื่อถือของข้อมูลทางวิชาการ จากการที่สามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยเนื่องจากเป็นการตีความแบบคิดเอาเอง ไม่มีการตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่โดยละเอียดหรืออ้างอิงเอกสารวิชาการในอดีตที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งในทางปฏิบัติทางกัมพูชายังได้สร้างเสาส่งสัญญาณที่ภูมะเขือ ที่ถือว่าเป็นตัวแทนของหนึ่งในเทพทั้งสาม เป็นการไม่ให้ความเคารพแก่พื้นที่ตามที่ตีความนี้เลย ความจริงที่ภูมะเขือและเขาสัตตะโสมยังไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีแต่อย่างใดในขณะที่ในยอดที่อยู่ถัดไปทางตะวันออกเป็นที่ตั้งของปราสาทโดนตวลที่ร่วมสมัยกับปราสาทพระวิหาร[7] แต่ไม่มีการกล่าวถึงหรือให้ความสำคัญ
· ในบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารตั้งแต่บนยอดเขาไล่ต่อลงมาจนถึงในพื้นที่ของประเทศไทยล้วนพบหลักฐานทางโบราณคดีที่มีความสำคัญหลายจุด ไม่ใช่เฉพาะในพื้นที่ทางด้านตะวันตกของปราสาทตามที่ระบุในแผน เป็นการนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาดจากความไม่ครบถ้วน ซึ่งจะไม่สามารถนำไปสู่แผนการจัดการที่ดีได้ หลักฐานทางโบราณคดีที่ต่อเนื่องในเขตประเทศไทยประกอบด้วย รูปสลักศิวลึงค์ เขื่อนโบราณและสระตราว เขื่อนโบราณบริเวณใกล้บันไดใหญ่ (ในพื้นที่ที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์) เพิงหินและภาพสลักผามออีแดง ถ้ำขุนศรี แหล่งตัดหิน สถูปคู่ ปราสาทโดนตวล และชุมชนโบราณ”กุรุเกษตร”[8]
· ปราสาทพระวิหาร เป็นสุดยอดของการเลือกที่ตั้งสำหรับการก่อสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สื่อถึงเขาไกรลาศที่สถิตของพระศิวะ ผู้เป็นเทพสูงสุดของลัทธิไศวนิกายในศาสนาฮินดู ด้วยภูเขาที่มีหน้าผาสูงทัศนียภาพประดุจสรวงสวรรค์ เป็นสุดยอดของงานสถาปัตยกรรมขอมที่มีการออกแบบอย่างเยี่ยมยอดทั้งด้วยความงามทางศิลปะสถาปัตยกรรม และด้วยการจัดลำดับการเข้าถึงที่เน้นให้เกิดความสง่างาม จากทางเข้า ผ่านซุ้มโคปุระชั้นต่างๆ ตามทางเดินที่ประดับด้วยเสานางเรียงที่ช่วยนำสายตา สู่เทวาลัยชั้นสูงสุด มีการวางแนวแกนสอดคล้องกับลักษณะทางภูมิประเทศของที่ตั้งจากทิศเหนือมาสู่ทิศใต้ แม้ทางเข้าทางทิศเหนือจะมิใช่ทางเข้าออกเพียงทางเดียวของปราสาทดังปรากฏหลักฐานร่องรอยบันไดที่เชื่อมต่อกับที่ราบเบื้องล่างทางทิศตะวันออก และทางเดินยกระดับด้านทิศตะวันตก เมื่อพิจารณาในเรื่องของขนาดและทิศทางแนวแกนแล้วก็ยากที่จะปฏิเสธได้ว่าเส้นทางดังกล่าวเป็นเพียงทางเข้าที่มีความสำคัญในระดับรองลงไปเท่านั้น แต่ในแผนการจัดการนี้กลับกล่าวว่าบันไดทางด้านตะวันออกเป็นทางเข้าหลัก และการเข้าถึงที่ดีที่สุดในอันที่จะสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของปราสาทพระวิหารคือจากที่ราบทางทิศใต้ ทั้งที่เมื่อพิจารณามุมมองจากพื้นราบที่หันสู่ปราสาทพระวิหาร ตลอดเส้นทางถนนในปัจจุบัน จะพบว่ามีเพียงมุมมองจากด้านตะวันออกเท่านั้นที่สามารถสังเกตเห็นสิ่งก่อสร้างของปราสาทพระวิหารได้
นอกจากนี้แผนการจัดการยังขาดข้อมูลที่ชัดเจนและความเหมาะสมในด้านการจัดการและการอนุรักษ์ดังนี้
· โดยปกติในการจัดทำแผนการจัดการควรจะต้องมีความชัดเจนของขอบเขตพื้นที่ที่จะดำเนินการก่อน ในกรณีที่มีปัญหาจึงจะต้องมีการหารือตกลงกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีส่วนได้ส่วนเสียก่อน ดังจะเห็นได้จากการที่คณะกรรมการมรดกโลกมีมติให้กัมพูชาส่งแผนที่ที่แสดงขอบเขตของโซนนิ่งต่างๆ ที่ชัดเจนก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยส่งแผนการจัดการฉบับเต็มภายหลัง แต่ที่ผ่านมาการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากไม่มีการเจรจากับประเทศไทยจึงไม่มีการส่งแผนที่ที่ชัดเจนก่อนการนำเสนอแผนการจัดการในครั้งนี้ซึ่งจะถือว่าเป็นการข้ามขั้นตอนที่ขัดต่อมติของคณะกรรมการมรดกโลกหรือไม่
· ในเอกสารมีการกำหนดขอบเขตของพื้นที่ต่างๆ แบ่งเป็น พื้นที่มรดกโลก พื้นที่กันชน และพื้นที่ปกป้องภูมิทัศน์ โดยใช้แผนที่แสดงขอบเขตของพื้นที่ต่างๆ แต่ในหน้าที่ควรจะเป็นผังแสดงพื้นที่กันชนนั้นข้อมูลกลับขาดหายไป (หน้า ๕๓) ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่าพื้นที่กันชนตามคำอธิบายน่าจะตรงกับพื้นที่ที่ปรากฏในผังแสดงตำแหน่งบาราย (หน้า ๖๒) เป็นความไม่ชัดเจนของเอกสาร
· มีการอธิบายถึงพื้นที่กันชนว่าไม่รวมพื้นที่ทางด้านทิศเหนือและตะวันตกของปราสาท (เรียกว่าพื้นที่นอกเขตกันชน หมายถึงพื้นที่ที่ประเทศไทยยังอ้างสิทธิ์) โดยไม่มีขอบเขตชัดเจนว่าไปสุด ณ ที่ใด โดยระบุว่าเป็นการกำหนดพื้นที่กันชนแบบชั่วคราวจนกว่าจะมีการตกลงกันโดย JBC ระหว่างไทยและกัมพูชา ในขณะที่ได้มีการเสนอให้ขยายพื้นที่กันชนออกไปให้ครอบคลุมบารายด้านตะวันตกและตะวันออก ปราสาทโต๊ด (ตามข้อมูลเดิมเรียกปราสาทมณีวงศ์)[9]ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่บ้านโกมุย รวมทั้งพื้นที่ด้านทิศใต้ของปราสาทเพื่อรักษาพื้นที่ประวัติศาสตร์โบราณคดีและสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ซึ่งเมื่อดูตามผังแสดงพื้นที่โดยรวมในหน้า ๕๔ พื้นที่กันชนที่เสนอให้ขยายนี้น่าจะหมายถึง Zone 2a และ 2b จะเห็นว่าการขยายพื้นที่ดังกล่าวมิได้จำกัดเฉพาะพื้นที่ทางทิศใต้ของปราสาทเท่านั้น แต่ยังมีขอบเขตมาถึงพื้นที่เขตแดนระหว่างประเทศด้วย จึงจำเป็นจะต้องเป็นการหารือกับประเทศไทยในการทำงานของ JBC ด้วยเช่นเดียวกัน
· แม้ผังแสดงพื้นที่กันชนจะขาดหายไป หรือในผังแสดงตำแหน่งบารายที่ให้ข้อมูลขอบเขตของพื้นกันชนชั่วคราวนี้ได้ จะไม่ได้แสดงเส้นเขตแดนระหว่างประเทศที่อาจจะเป็นประเด็นปัญหาให้ฝ่ายไทยคัดค้าน แต่ในเอกสารและผังที่แจกในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บราซิเลีย ก็ได้แสดงเส้นและระบุว่าเป็นเขตแดนระหว่างประเทศตามที่กัมพูชายึดถือไว้ด้วยทางด้านทิศเหนืออย่างชัดเจน รวมทั้งผังแสดงพื้นที่โดยรวมในแผนการจัดการ หน้า ๕๔ และ ๖๓ ที่แสดงพื้นที่กันชนซึ่งเสนอให้ขยายเพิ่มเติมและพื้นที่ปกป้องภูมิทัศน์โดยรอบ ก็ได้ใช้เส้นเขตแดนระหว่างประเทศเป็นขอบเขตทางทิศเหนือที่จะต้องอยู่ในการดูแลของ JBC ด้วยทั้งสิ้น
· ขอบเขตพื้นที่กันชนชั่วคราวด้านทิศเหนือทางซ้ายของปราสาทใช้ขอบหน้าผาเป็นเขตลากมาเชื่อมกับตัวปราสาทให้คลุมพื้นที่เป้ยตาดีแบบไม่มีจุดอ้างอิง ในขณะที่ทางขวาของปราสาทเป็นพื้นที่กันชนทั้งหมดที่มีทางเดินโบราณช่องบันไดหักเป็นเขต ส่วนทางด้านอื่น ใช้เส้นถนนขึ้นเขาทางทิศตะวันตก ถนนทางทิศใต้ และถนนด้านทิศตะวันออกเป็นแนวขอบเขตพื้นที่ แสดงถึงการกำหนดพื้นที่เพื่อการจัดการที่ไม่ได้มาตรฐาน จึงเห็นควรที่จะขยายพื้นที่ให้เป็นพื้นที่กันชนทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเฉพาะในฝั่งถนนหรือทางเดินข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจะทำให้มีมาตรการในการควบคุมดูแลเพียงข้างเดียวในขณะที่ไม่มีการควบคุมในฝั่งตรงข้ามที่อยู่ต่อเนื่องกัน
· นอกจากพื้นที่กันชนยังมีการกำหนดเป็นพื้นที่ปกป้องภูมิทัศน์ที่ระบุว่าเป็นการปกป้องคุ้มครองในลำดับถัดมา ทั้งพื้นที่กันชนและพื้นที่ปกป้องภูมิทัศน์ได้ระบุให้ควบคุมการก่อสร้างให้มีน้อยและเพียงเท่าที่มีความจำเป็น ห้ามไม่ให้มีการก่อสร้างหรือการพัฒนาขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์ใด แต่ยังไม่มีรายละเอียดที่แสดงถึงมาตรการที่ใช้ในการควบคุมและความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสองประเภทนี้ รวมทั้งพื้นที่อื่นๆที่แยกเป็นส่วนต่างๆตามผังก็ยังไม่มีรายละเอียดของการดำเนินการเฉพาะในแต่ละพื้นที่ที่ชัดเจนแต่อย่างใด จึงถือได้ว่ายังเป็นแผนการจัดการที่ไม่สมบูรณ์
· ในแผนการจัดการกล่าวถึงการเข้าถึงแหล่งโดยทางทิศตะวันตกเป็นการพัฒนาทางขึ้นเขาผ่านมาทางหมู่บ้านโกมุยมาจนถึงที่วัดแก้วฯ สำหรับทางเข้าโดยรถยนต์ ในขณะที่ด้านบันไดตะวันออกที่ระบุว่าเป็นทางเข้าหลัก เป็นทางเดินเท้าจากจุดที่จะก่อสร้างศูนย์นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเรื่องการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆในพื้นที่ ได้แก่ ห้องน้ำ และตลาดในบริเวณด้านหน้าบันไดใหญ่ (เรียกว่า old market ทั้งๆที่เป็นสิ่งที่มาปลูกสร้างกันภายหลังเช่นเดียวกับวัดแก้วฯ ที่แผนนี้พยายามแสดงให้เห็นว่าชุมชนและสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้มีมานานแล้ว) การสร้างตลาดขึ้นมาใหม่ที่ด้านหน้าบันไดใหญ่ การสร้างบันไดไม้ขึ้นทางช่องบันไดหัก และถนนขึ้นเขาทางทิศตะวันตก ที่ทำให้การเข้าถึงปราสาทไม่ต้องผ่านบันไดใหญ่ ยังแสดงถึงการไม่ให้ความสำคัญกับบันไดใหญ่ ทางเข้าหลักในแนวแกนของปราสาท ทั้งๆที่เป็นองค์ประกอบที่มีคุณค่ามาก จึงถือว่าเป็นวางแผนการจัดการพื้นที่ที่ไม่ถูกต้อง

ประเด็นที่ ๒ แผนบริหารจัดการไม่ส่งเสริมให้มีคณะกรรมการประสานงานนานาชาติเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหาร {International Coordinating Committee (ICC)}

· ในหัวข้อ Proposed Management Mechanism ของแผนการจัดการได้กล่าวถึงการก่อตั้ง Preah Vihear Monitoring & Conservation Committee (PVMCC) ที่ ประกอบด้วยผู้แทนจากยูเนสโก ICOMOS ICCROM ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษาระหว่างประเทศ Ad Hoc international experts group โดยกำหนดให้มีอำนาจหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามแผนการจัดการนี้ ซึ่งเหมือนกับภารกิจของ International Coordinating Committee (ICC) เพียงแต่ไม่มีการเชิญให้ประเทศไทยเข้ามีส่วนร่วมในการดูแลนี้ ทั้งนี้ยังได้ระบุว่าจะมีการจัดตั้ง ICC (ตามมติ) ขึ้นในอนาคต ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อมี PVMCC แล้วก็คงไม่มีความจำเป็น
· นาย Divay Gupta ผู้จัดทำแผนการจัดการนี้เป็นสถาปนิกด้านการอนุรักษ์และผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการมรดกวัฒนธรรมจากประเทศอินเดีย ซึ่งยังเป็นนักวิชาการที่อิโคโมสสากลมอบหมายให้ทำหน้าที่ประเมินเอกสารนำเสนอเป็นมรดกโลก (nomination dossier) ของปราสาทพระวิหาร ที่ต่อมาได้มาร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญนานาชาติในการจัดทำรายงานความก้าวหน้าเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกตั้งแต่ก่อนที่จะได้บรรจุในบัญชีมรดกโลก จากนั้นได้เข้าร่วมเป็น Ad Hoc international experts group ของ National Authority of Preah Vihear และได้เป็นส่วนหนึ่งของ PVMCC ด้วย ทั้งนี้ไม่มีข้อมูลว่าในการประเมินข้อมูลของอิโคโมสในครั้งนี้จะยังเป็นหน้าที่ของนาย Gupta ซึ่งเป็นผู้จัดทำแผนนี้เองด้วยหรือไม่

ประเด็นที่ ๓ แผนบริหารจัดการยังคงแสดงให้เห็นถึงปัญหาในเรื่องเขตแดน

· การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่ระบุในแผนการจัดการ ไม่ว่าห้องน้ำ หรือ ตลาดในบริเวณด้านหน้าบันไดใหญ่ มีภาพประกอบที่แสดงว่าได้มีการดำเนินการไปแล้ว ที่ถือว่ารุกล้ำเขตพื้นที่ประเทศไทย ขัดต่อ MOU ๔๓ ทั้งที่ในแผนการจัดการระบุว่าพื้นที่ซึ่งอยู่นอกเขตพื้นที่กันชน (ทางด้านเหนือและตะวันตกของปราสาท) จะต้องรอการตกลงกันของ JBC ดังนั้นการพัฒนา การก่อสร้างที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้จึงน่าจะต้องเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาร่วมกันก่อนด้วย จึงเป็นประเด็นที่ประเทศไทยควรจะต้องประท้วงนอกเหนือจากเรื่องการพัฒนาถนนทางขึ้นเขาที่ล้ำเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวนี้
· ในแผนการจัดการนี้นอกจากจะกล่าวถึงกิจกรรมและข้อเสนอแนะต่างๆที่ระบุให้ดำเนินการในพื้นที่ของประเทศไทยที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังปรากฏเป็นหลักฐานในผังต่างๆ เช่น ในผังเส้นชั้นความสูงหน้า ๖ ผังแสดงการตีความคุณค่าของพื้นที่ หน้า ๒๕ ผังการแบ่งพื้นที่โดยรวม หน้า ๕๔ ผังแสดงการเข้าถึงพื้นที่ หน้า ๕๖ ผังที่ตั้งห้องน้ำและตลาด หน้า ๕๘ ผังแสดงตำแหน่งบาราย หน้า ๖๒ ผังแสดงพื้นที่ Eco Compatible Village หน้า ๖๓
· การดำเนินการกิจกรรมต่างๆตามแผนนี้ มีหลายกรณีที่มีข้อแนะนำให้ประกาศเป็นกฎหมาย ที่อาจเป็นประเด็นการบังคับใช้กฎหมายกัมพูชาในดินแดนไทยได้
[1] ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม. แอ่งอารยธรรมอีสาน. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๓๓.
[2] Lajonquiere, E. L. Inventaire Descriptif des Monuments du Cambodge. Paris: Imprimarie Nationale, 1907. และ Aymonier, E. Le Cambodge, Tome II. Les Provinces Siamoises. Paris: Ernest Leroux, 1901.
[3] จิโต มาดแลน. ประวัติเมืองพระนครของขอม. แปลโดย สุภัทรดิศ ดิศกุล, หม่อมเจ้า. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๖.
[4] ...พระเจ้าสูริยวรมันที่ ๑ กษัตริย์ผู้พิชิตจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา... จาก เซเดส์ ยอร์ช. เมืองพระนคร นครวัด นครธม. แปลโดย ปรานี วงษ์เทศ. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๓.
และ ชา อวม, ไผ เผง และโสม อิม. ประวัติศาสตร์กัมพูชา ตำราเรียนของเขมร. แปลโดย ศานติ ภักดีคำ. กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๖. หน้า ๒๖
[5] จาก กรมศิลปากร. สำนักศิลปากรที่ ๑๑ อุบลราชธานี. รายงานการสำรวจทางโบราณคดีจังหวัดศรีสะเกษ. ๒๕๔๗.
[6] ข้อมูลจากการเข้าร่วมประชุม The Consultative Meeting of International Expert Teams on the Inscription of Preah Vihear Temple as World Hertage Site. Siem Reap, 11 – 13 January 2008.
[7] ดูรายละเอียด ภาคผนวก ข้อโต้แย้งทางวิชาการในรายงานการประเมินของ ICOMOS กรณีกัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนโบราณสถานปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งมรดกโลก จัดทำโดย กรมศิลปากร และอิโคโมสไทย
[8] เรื่องเดียวกัน
[9] ข้อมูลจากการร่วมสำรวจพื้นที่ตามคำเชิญของกัมพูชา เมื่อวันที่ ๓ – ๔ มกราคม ๒๕๕๑

ไม่มีความคิดเห็น: